คนท้องเลี้ยงแมวได้ไหม เป็นทาสแมวตอนท้องอันตรายถ้าไม่ระวัง !

Loading...
You got lucky! We have no ad to show to you!
ติดต่อโฆษณา

ท้องอยู่แล้วหันไปเจอแมวที่เลี้ยงมานาน จนเกิดความสงสัยว่า คนท้องเลี้ยงแมวได้ไหม ก็เลี้ยงมานานแล้วเราไม่เห็นเป็นอะไร แต่กับทารกในครรภ์นั้นคนละเรื่อง เพราะเสี่ยงต่อการติดเชื้อจนมีอาการรุนแรง หากคุณแม่เลี้ยงแมวอยู่ หรือกำลังคิดว่าอยากจะเลี้ยงตอนนี้ เราขอเชิญชวนให้มาอ่านวิธีการปรับตัว เพื่อให้อยู่ร่วมกันได้ทั้งคนทั้งแมวอย่างปลอดภัยจากบทความนี้กัน

 

คนท้องเลี้ยงแมวได้ไหม

เมื่อเป็นทั้งทาสแมว และเป็นคุณแม่ตั้งครรภ์ไปด้วย นอกจากเรื่องอาหารการกินแล้ว ก็ยังมีเรื่องแมวนี่แหละที่คุณแม่คงต้องระวังให้ดี เพราะหากไม่รู้วิธีที่จะอยู่ร่วมกับแมวบ้านในช่วงตั้งครรภ์ อาจนำอันตรายมาสู่ทารกในครรภ์ได้โดยไม่ทันตั้งตัว เนื่องจากขี้แมวอาจมีเชื้อโรคร้ายที่สามารถส่งผ่านรกไปยังลูกน้อยในครรภ์ได้ หากทารกติดเชื้อ อาจทำให้มีอาการรุนแรงที่สุด ถึงขั้นเสียชีวิต และแมวยังถือว่าอันตรายต่อทารกเพิ่งคลอดด้วย ดังนั้นหากแม่ท้องมีแมวเลี้ยง ควรให้ความสำคัญกับสุขอนามัยทั้งของคนในบ้าน, ตัวของคุณแม่ และแมวที่เลี้ยง โดยเฉพาะขี้แมว ที่คุณแม่ไม่ควรเข้าใกล้หากไม่จำเป็น

บทความที่เกี่ยวข้อง : เลี้ยงหมาตอนท้อง ได้ไหม ถ้าอยากตั้งครรภ์เเบบสุขภาพดีทั้งเเม่ทั้งลูก

 

วิดีโอจาก : DrNoon Channel

 

ทำไมแมวจึงอันตรายต่อคนท้อง ?

การเลี้ยงแมวถึงแม้จะดูแลความสะอาดเป็นอย่างดี แต่น่าเสียดายที่โดยธรรมชาติแล้วแมวจะมีพยาธิกำเนิดโรค ซึ่งจะซ่อนอยู่ในลำไส้ต่างหาก โดยเชื้อตัวนี้มีชื่อว่า “ท็อกโซพลาสโมซิส (Toxoplasmosis)” หรือ “โรคขี้แมวนั่นเอง” ซึ่งเป็นสิ่งที่อันตรายกับแม่ท้องเป็นอย่างมาก แน่นอนว่าตามชื่อของโรค คือ การส่งต่อเชื้อผ่านขี้แมว หากไม่ได้ทำความสะอาดให้ดีหลังเก็บขี้แมว เชื้อร้ายนี้จะเข้าสู่ร่างกายของคุณแม่ได้ ลำพังคุณแม่อาจไม่ได้รับผลกระทบที่รุนแรงอย่างชัดเจน แต่สำหรับทารกนั้นคนละเรื่อง เชื้อนี้จะเข้าถึงทารกผ่านรกได้ จนทำให้เกิดอันตรายรุนแรง

Loading...
You got lucky! We have no ad to show to you!
ติดต่อโฆษณา

โดยช่วงที่ถือว่ามีผลต่อทารกมากที่สุด คือ ช่วงไตรมาสแรก ซึ่งเป็นช่วงที่ทารกในครรภ์อ่อนแอมากที่สุด พัฒนาการที่มีไม่มากทำให้ทารกไม่สามารถทนต่อเชื้อท็อกโซพลาสโมซิส (Toxoplasmosis) หากติดเชื้อจะส่งผลรุนแรงที่สุด คือ ทำให้ทารกน้อยเสียชีวิตในครรภ์ และถึงแม้ทารกจะคลอดออกมาแล้ว ความเสี่ยงก็ยังคงอยู่ เพราะระบบภูมิคุ้มกันที่ไม่แข็งแรงเหมือนผู้ใหญ่ ในช่วง 6 – 7 เดือน จะส่งผลให้ตาบอด, สติปัญญาบกพร่อง และประสิทธิภาพการเรียนรู้ด้อยลง อย่างไรก็ตามความรุนแรงของอาการก็ยังขึ้นอยู่กับทารกแต่ละคนด้วย

 

ไม่มีอาการใช่ว่าจะไม่ติดเชื้อ

แม้ว่าจะเป็นเชื้อโรคที่ดูน่ากลัวแต่จากสถิตินั้นพบว่าทารกส่วนมากที่รับเชื้อจากรกไม่ได้เกิดอาการผิดปกติใด ๆ เลย โดยแบ่งเป็นความเสี่ยง ได้แก่ ทารก 60 % ไม่มีอาการใด ๆ ทารก 30 % พบว่ามีอาการรุนแรง ส่งผลกระทบต่อทารกในหลายด้าน ตัวอย่างเช่น พิการแต่กำเนิด, จอตา และประสาทอักเสบ, สมองบวมน้ำ และมีอารมณ์ผิดปกติไป เป็นต้น ส่วนอีก 10 % ที่เหลือนั้นถือว่ามีโอกาสเกิดขึ้นน้อยที่สุด แต่รุนแรงที่สุด คือ ทำให้ทารกเสียชีวิต กรณีที่แม่ท้องมีร่างกายแข็งแรงมาก จะยิ่งทำให้เชื้อทำอันตรายได้ยากขึ้น ในทางกลับกันหากคุณแม่ท้องร่างกายไม่แข็งแรง มีโรคประจำตัวก็จะทำให้ความเสี่ยงเพิ่มขึ้นตามไปด้วย

แน่นอนว่าคงไม่มีคุณแม่คนไหนอยากจะเสี่ยงแม้แต่เปอร์เซ็นต์เดียว และเป็นกังวลใจ เพราะอาจเลี้ยงแมวอยู่แล้ว และรักแมวมากด้วย การเรียนรู้วิธีที่จะอยู่ร่วมกับแมวที่บ้านได้อย่างปลอดภัย เลี่ยงต่อเชื้อร้าย จึงกลายมาเป็นสิ่งที่คุณแม่ต้องศึกษาอย่างเลี่ยงไม่ได้

บทความที่เกี่ยวข้อง : ภาวะแทรกซ้อนระหว่างตั้งครรภ์ 10 โรคอันตราย โรคแทรกซ้อนแม่ท้องต้องระวัง

 

Loading...
You got lucky! We have no ad to show to you!
ติดต่อโฆษณา

 

อย่าทิ้งแมว ยังมีการป้องกันสำหรับคนท้องอยู่

ถึงแม้ว่าจะมีความเสี่ยงต่อทารกในครรภ์ แต่สำหรับคุณแม่ที่เลี้ยงแมวมาตั้งแต่ตั้งครรภ์ก็อย่าเพิ่งร้อนรนใจ เพราะถ้าหากมีกฎเกณฑ์ และมีระเบียบวินัยมากพอในการดูแลตนเอง และปรับลดความคลุกคลีกับแมวไปก่อน ก็สามารถเพิ่มความปลอดภัยได้แล้ว ดังนี้

 

  • ให้ความสำคัญกับสุขอนามัยทั้งการทานอาหาร ก่อนทาน หรือนำวัตถุดิบไปประกอบอาหารควรทำความสะอาดให้ดี พยายามไม่ให้แมวเข้าใกล้อาหาร และต้องล้างมือทั้งก่อน และหลังการทานอาหารเสมอ
  • เลือกทานอาหารที่ปรุงสุกแล้วเท่านั้น เลี่ยงอาหารกึ่งสุกกึ่งดิบทุกประเภท เพราะอาหารดิบที่เราทานเข้าไป ก็เสี่ยงเชื้อโรคด้วยเช่นกัน
  • ในช่วงนี้หากไม่มีความจำเป็น พยายามเลี่ยงการสัมผัสอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับแมว โดยเฉพาะกระบะทรายแมว กรณีที่เลี่ยงไม่ได้ให้สวมถุงมือ และล้างมือทันทีหลังสัมผัส
  • หากเคยให้แมวขึ้นมานอนด้วย ควรเลี่ยงไปก่อน ถึงแม้จะไม่เกี่ยวกับเชื้อ แต่ขนแมว อาจกระตุ้นความเสี่ยงที่จะทำให้คุณแม่เกิดอาการภูมิแพ้ได้
  • ถึงเวลาบอกลาแมวจรจัด แม้จะรักแมวมาก แต่แม่ท้องควรเลี่ยงการสัมผัสแมวจรจัดไม่ว่าจะในช่วงตั้งครรภ์ หรือหลังคลอดใหม่ ๆ เพราะเสี่ยงต่อการปนเปื้อนเชื้อโรคมากกว่าแมวเลี้ยง
  • ดูแลแมวเลี้ยงให้ดี ทั้งการพาไปฉีดวัคซีนตามมาตรฐานกำหนด และให้แมวกินอาหารที่ปรุงสุกแล้ว เนื่องจากอาหารดิบเป็นแหล่งที่มาของเชื้อร้ายด้วยเช่นกัน

 

Loading...
You got lucky! We have no ad to show to you!
ติดต่อโฆษณา

นอกจากนี้ยังมีอีกทางเลือกหนึ่ง คือ การนำแมวไปฝากเลี้ยงกับญาติ หรือบุคคลที่ไว้ใจได้ ไปจนถึงโรงพยาบาลสัตว์ที่รับเลี้ยงหากมีความจำเป็น ก็ถือเป็นทางออกที่น่าสนใจเช่นกัน

 

 

ระวังแมวไม่ระวังอาหาร ความเสี่ยงไม่ลดลง !

ถึงแม้ว่าคุณแม่จะดูแลแมวเป็นอย่างดี ระวังเรื่องความสะอาดเป็นอย่างมาก ไม่ได้เข้าใกล้ขี้แมว หรือแมวเลย นำแมวไปฝากเลี้ยง ไปจนถึงคุณแม่ตั้งครรภ์ที่ไม่ได้เลี้ยงแมว ทั้งหมดที่เรากล่าวมานั้นไม่ได้ทำให้คุณแม่ปลอดภัยมากขึ้นเลย หากคุณแม่ไม่ทานอาหารที่ “ปรุงสุก” ด้วยปัจจุบันมีอาหารดิบหลายแบบที่นิยมนำมาทานกัน ถือเป็นสิ่งต้องห้ามสำหรับคนท้อง เพราะอาหารดิบมักมีเชื้อโรคตามธรรมชาติหลายชนิดติดมาด้วย ดังนั้นไม่ว่าจะเลี้ยงแมวหรือไม่ การทานอาหารที่สุกแล้วเท่านั้นจะเป็นผลดีต่อตัวของคุณแม่ และทารกน้อยในครรภ์ที่สุดแล้ว

 

ไม่ว่าจะเลี้ยงสัตว์ชนิดไหน สิ่งที่สำคัญ คือ ความสะอาดที่ต้องมีมากพอ ทุกครั้งที่สัมผัสกับสิ่งที่อาจปนเปื้อน การทำความสะอาดโดยเร็วที่สุดเป็นการป้องกันตัวที่ดี คุณแม่ต้องคิดเสมอว่าบางเชื้ออาจไม่ได้ทำให้คุณแม่เป็นอะไรเลย ไม่มีอาการใด ๆ ต่อคุณแม่ แต่ทารกในครรภ์ที่ยังไม่แข็งแรงนั้นอาจได้รับผลกระทบได้หากไม่ระวังในเรื่องนี้

 

บทความอื่น ๆ ที่น่าสนใจ :

คนท้องกินสลัดบ่อย ๆ ได้ไหม ใครว่าท้องแล้วกินสลัดจะดีเสมอไป ?

ห้ามเลย! 7 เรื่อง อันตรายต่อทารกในครรภ์ แม่ทำแบบนี้ไม่ดีแน่

คนท้องออกกำลังกายได้ไหม ? ควรทำหรือไม่ในขณะตั้งครรภ์

ที่มา : samitivejhospitals, ramamahidol

Loading...
You got lucky! We have no ad to show to you!
ติดต่อโฆษณา

บทความโดย

Sutthilak Keawon