คุณแม่ท่านนี้ได้โพสต์ภาพและข้อความเพื่อเป็นอุทาหรณ์ หลังจากโรงพยาบาลติดฉลากยาผิด ทำให้ลูกชายที่ป่วยเป็นโรคปอดบวมต้องกินยาคาลาไมน์แทนยาขยายหลอดลม
“อุทาหรณ์เตือน ทุกท่าน …..วันนี้ฉันพาลูกชาย มา รพ.แห่งหนึ่ง เพื่อมาตรวจ ผลตรวจหมอบอกว่าเป็นปอดบวม เลยให้พ่นยา 2 ครั้ง แล้วให้ยากลับไปกินที่บ้าน จากนั้น เมื่อประมาณ 6 โมงเย็น ฉันก็พาลูกชายมาอีกครั้งเพื่อ มาพ่นยาอีกครั้ง โดยยังไม่ดูยาที่อยู่ในถุงของเมื่อเช้า พอใกล้เวลาจะนอน เปิดดูยาที่อยู่ในถุงนั้น เพื่ออ่านว่ามียากินก่อนนอนหรือไม่ สรุปว่า มียากินก่อนนอนประมาณ 3 ตัว โดย 1 ในนั้น คือยาขยายหลอดลม จึงเปิดขวดเพื่อป้อนลูกชาย โดยตามสติกเกอร์ที่ทาง รพ. แปะมา ให้กิน 1 ช้อนชา เช้า เย็น ก่อนนอน โดยได้ป้อนลูกชายตามสติกเกอร์ที่ระบุ จากนั้น ลูกชายก็ตัวสั่น เลยรู้สึกว่ายานี้กลิ่นแปลก ๆ เลยลองชิมเอง รสชาติและกลิ่นเหมือนไม่ใช่ยาของเด็กวัย ไม่ถึง 1 ปี เลยฉีกสติกเกอร์ที่ทาง รพ.แปะไว้ออก เพื่ออ่านสติกเกอร์ที่ติดมากับขวดยา ฉันตกใจมาก เพราะยาที่ทาง รพ.ให้ลูกชายฉันกิน เป็นยาคาลาไมน์ แก้อาการผดผื่น คัน ลมพิษ ซึ่งเป็นยาใช้ภายนอก ห้ามรับประทาน ทำไมถึงมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้น แล้วจะทำยังต่อไป”
ภายหลังจากการแชร์ข้อความดังกล่าว ทำให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างหนัก
คารามาย อันตรายมากหากกินเข้าไป
ยา 10 ชนิดที่อาจเป็นอันตรายต่อลูกมีดังนี้
แอสไพริน
ห้ามให้ยาแอสไพรินกับเด็กทารกโดยเด็ดขาดเนื่องจากเด็กมี โอกาสเกิดอาการเรย์ซินโดรม (Reye’s Syndrome) ซึ่งอาจเป็นอันตรายร้ายแรงถึงชีวิต คุณควรตรวจสอบยาที่ซื้อจากร้านขายยาทั่วไปเสมอ เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีส่วนประกอบของแอสไพรินและควรสอบถามแพทย์ถึงยาตัวอื่น ๆ ที่จะช่วยลดไข้ให้ลูกน้อยของคุณสบายขึ้นได้
ยาแก้หวัดซึ่งจำหน่ายตามร้านขายยาทั่วไป
ไม่ควรให้เด็กทารกทานยาแก้หวัดซึ่งจำหน่ายตามร้านขายยาทั่ว ไป ผลการวิจัยหลายชิ้นชี้ว่ายาเหล่านี้ไม่ช่วยบรรเทาอาการของโรคหวัดในเด็กทารก และหากใช้ยาไม่ถูกวิธีก็อาจกลายเป็นยาอันตรายต่อลูกน้อยของคุณ เพราะเสี่ยงที่จะเกิดผลข้างเคียงขึ้นได้หลายอย่างเกินกว่าที่ร่างกายเด็กจะ รับไหว
ยาแก้คลื่นไส้อาเจียน
ห้ามให้ยาแก้คลื่นไส้อาเจียนซึ่งแพทย์ไม่ได้เป็นผู้สั่งแก่ ลูกโดยเด็ดขาด ยาแก้คลื่นไส้อาเจียนหลายขนานมีส่วนประกอบของตัวยาต้านอาการคลื่นเหียน (Antiemetic) ซึ่งมีผลข้างเคียงร้ายแรงต่อเด็กทารกและโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับตัวอ่อนในครรภ์ หากได้รับตัวยานี้ ลูกอาจถ่ายเป็นสีดำคล้ำหรือได้ยินเสียงก้องสะท้อนในหู สำหรับผู้ใหญ่ อาการเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องหนักหนาสาหัสแต่กับเด็กทารกแล้วนี่อาจสร้างปัญหา ที่ไม่ควรเกิดขึ้นได้
ยาของผู้ใหญ่
สิ่งหนึ่งที่คุณพ่อคุณแม่ทุกคนควรตระหนักอยู่เสมอคือเด็ก ทารกนั้นตัวเล็กกว่าเราหลายเท่า คุณไม่ควรเอายาของผู้ใหญ่ให้ลูกทานอย่างเด็ดขาด ไม่ว่าจะเป็นยาที่แพทย์สั่งหรือจำหน่ายตามร้านขายยาทั่วไป ระบบภูมิคุ้มกันของเด็กทารกบอบบางกว่าของผู้ใหญ่มาก ร่างเล็ก ๆ ของเด็กไม่อาจทนรับสารพัดสิ่งอย่างที่ร่างกายเราทำได้
ยาหมดอายุ
ยาใด ๆ ก็ตามที่หมดอายุแล้วควรเอาไปทิ้งทันที ยาหมดอายุอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ สูตรของตัวยาที่ควรจะช่วยบรรเทาอาการต่าง ๆ สามารถส่งผลในทางตรงข้ามโดยสิ้นเชิง ยาสามารถหมดอายุได้ในเวลาไม่นานนักหากเก็บรักษาไม่ถูกวิธี
ยาที่แพทย์สั่งให้ผู้อื่น
เมื่อมีการสั่งยา แพทย์จะคำนึงถึงลักษณะร่างกาย น้ำหนักตัวและประวัติสุขภาพของคน ๆ นั้น แน่นอนว่าลูกของคุณย่อมไม่ได้มีรูปร่างแบบเดียวกัน ยาอาจได้ผลดีกับคนที่แพทย์สั่งให้แต่อาจเป็นยาอันตรายถึงชีวิตกับลูกของคุณ
ยาเม็ดชนิดเคี้ยว
ยาเม็ดชนิดเคี้ยวอาจติดคอเด็กทารกเป็นอันตรายได้ ห้ามให้ลูกทานอะไรก็ตามที่ไม่ได้อยู่ในรูปแบบของเหลว
ยาต้านพิษไอปิแคค (Ipecac)
ไอปิแคคเคยใช้เป็นยาขับสารพิษออกจากร่างกายทางการอาเจียน แต่ปัจจุบันแพทย์ค้นพบว่าการอาเจียนอาจไม่ใช่คำตอบ หากใช้ไอปิแคคกับเด็กอาจทำให้เกิดการอาเจียนอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานานหลัง จากสารพิษถูกขับออกมาหมดแล้วและก่อให้เกิดภาวะขาดน้ำในเด็กทารกได้
ยาแก้แพ้
ไม่ควรให้เด็กทารกทานยาแก้แพ้เว้นแต่จะเป็นยาที่แพทย์สั่ง ยาแก้แพ้ซึ่งจำหน่ายตามร้านขายยาทั่วไปมีส่วนประกอบของตัวยาต้านฮีสตามีน (Antihistmine) ซึ่งอาจส่งผลตรงกันข้ามในเด็กทารก นอกจากนี้ยังมีเด็กมากมายที่เกิดมาพร้อมอาการแพ้แต่ก็สามารถหายได้เองเมื่อ โตขึ้น
น้ำผึ้ง
แม้ว่าน้ำผึ้งจะไม่ใช่ยา แต่ก็ถูกนำมาใช้ในการบำบัดรักษาเชิงสมุนไพรหลายรูปแบบ น้ำผึ้งมีสปอร์ของสารโบทูลิซึ่ม (Botulism) ซึ่งเกิดจากแบคทีเรียชนิดหนึ่ง หากเด็กทารกได้รับสปอร์โบทูลิซึ่มเข้าไป สปอร์จะฟักเชื้อในท้องและก่อให้เกิดสารพิษแพร่กระจายไปทั่วร่างกาย ไม่ว่าใครที่ทานน้ำผึ้ง ร่างกายต้องย่อยสปอร์นี้ แต่ร่างกายของผู้ใหญ่และเด็กโตสามารถรับสปอร์ได้ดีกว่า
สิ่งสำคัญที่สุดคือคุณควรปรึกษาคุณหมอก่อนให้ลูกทานยาใด ๆ ทุกครั้ง แม้ว่าจะเป็นยาซึ่งคุณแม่ของคุณเคยให้คุณทานมาตลอดก็ตาม ยุคสมัยเปลี่ยนแปลงไปและผู้ผลิตมักหาหนทางที่ถูกกว่าในการผลิตยาเสมอ อย่าให้ลูกน้อยต้องทรมานจากการใช้ยาผิด ๆ เลยค่ะ
ที่มา: Sanook.com
บทความอื่น ๆ ที่น่าสนใจ:
รู้ได้อย่างไรว่าลูกน้อยเป็นหวัดVSไซนัสอักเสบ