หากที่ผ่าน ๆ มาคุณแม่ได้ดูข่าวบันเทิง หรือติดตามกระแสบนโลกออนไลน์ ก็คงจะเห็นว่ามีประเด็นเกี่ยวกับการเหยียดวัฒนธรรมต่างชาติ ของทั้งคนบันเทิงและคนทั่วไปอยู่เต็มไปหมด ซึ่งเขาเหล่านั้น อาจจะทำไปโดยที่รู้ตัวหรือไม่รู้ตัว วัฒนธรรม ถือเป็นสิ่งที่สำคัญ เพราะเป็นสิ่งที่แสดงออกถึงความเป็นอยู่ของคนในกลุ่มนั้น ๆ แต่บางที บางวัฒนธรรมบางอย่าง กลับถูกนำไปใช้ หรือนำเสนอในทางที่ไม่เหมาะสม ซึ่งในวันนี้ เราจะมาพูดวัฒนธรรมต่างชาติง่าย ๆ ที่เด็ก ๆ ควรรู้ เพื่อให้เขาได้ตระหนักถึงความสำคัญของวัฒนธรรมเพื่อนร่วมโลก และไม่เผลอไปทำร้ายจิตใจของใครโดยที่ไม่รู้ตัวกันค่ะ
วัฒนธรรมต่างชาติที่เด็ก ๆ ควรรู้ไว้
เรื่องบางเรื่องที่เราถูกสอนมาว่าเป็นเรื่องทั่วไป และทำกันได้ไม่ผิด อาจจะไม่ใช่เรื่องทั่วไปสำหรับคนอื่น ๆ เพราะเรื่องเหล่านั้น อาจเป็นสิ่งที่ทำให้เขาหวนนึกถึงอดีตของบรรพบุรุษที่เจ็บปวด หรือสร้างบาดแผลในจิตใจของเขาได้ ดังนั้น จึงเป็นเรื่องที่จำเป็นอย่างยิ่ง ที่เราจะต้องสอนเด็ก ๆ ให้เข้าใจ ว่าสิ่งไหนควรทำและไม่ควรทำ เพื่อให้เขาเติบโตในสังคมได้อย่างมีคุณภาพ ซึ่งวัฒนธรรมจากต่างชาติที่เด็ก ๆ ควรรู้ มีดังนี้
1. การ Black Face
การ Black Face มีให้เห็นได้บ่อยในสังคมไทย ไม่ว่าจะในอดีตหรือปัจจุบัน ผ่านละครทีวี โฆษณา หรือภาพยนตร์ไทยหลาย ๆ เรื่อง ซึ่งสื่อไทยมักจะสร้างตัวละครที่ทาหน้า เปลี่ยนสีผิว หรือทาตัวเป็นสีคล้ำ และนำไปเชื่อมโยงกับสิ่งที่เป็นเชิงลบ เช่น ทำให้ดูซื่อบื้อ น่ารังเกียจ ขี้เหร่ ไม่ฉลาด ไม่มีคนรัก เป็นต้น หรือนำมาเปรียบเทียบกับคนที่ผิวขาวในโฆษณาครีมหรือสบู่ในเชิงลบ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ ถือว่าเป็นการเหยียดเชื้อชาติและเหยียดสีผิวอย่างหนึ่ง ที่สร้างความไม่สบายใจให้กับคนแอฟริกันอย่างมาก เพราะถือว่าเป็นการทำให้คนแอฟริกันดูเป็นคนซื่อบื้อ ดูต่ำต้อย และดูตลกในสายตาคนอื่น ทั้งที่ความจริงแล้ว ทุกคนล้วนความเท่าเทียมกัน ไม่ว่าเขาคนนั้นจะมีสีผิวอะไร ทุกคนล้วนความสวยงามในแบบของตัวเอง เราจึงไม่ควรมองว่าสีผิวสีไหนด้อยกว่าสีไหน
2. การสวมใส่ War Bonnets
War Bonnets ถือเป็นเครื่องประดับอันศักดิ์สิทธิ์ ที่มีคุณค่าทางจิตใจของชาวอินเดียแดง ซึ่งในอดีต ชาวอินเดียวแเดงมักจะสวมใส่ War Bonnets ในตอนที่ออกศึก ส่วนในปัจจุบัน ก็จะเน้นใส่ในช่วงที่มีพิธีที่สำคัญ ๆ อย่างไรก็ตาม เราจะเห็นว่าในบางเทศกาล หรือแม้กระทั่งในเวทีประกวดนางงาม หรือเทศกาลดนตรีดัง ๆ ก็มักจะมีผู้เข้าร่วมงานที่ใช้ War Bonnets เป็นหนึ่งในเครื่องแต่งกายของตัวเอง ซึ่งการนำเครื่องประดับที่คนอินเดียถือว่าศักดิ์มาสวมใส่ในเทศกาลอื่น ๆ แบบนี้ ก็ทำให้คนที่มีเชื้อสายอินเดียแดงรู้สึกว่าไม่เหมาะสมนั่นเอง
3. ทรงผม Dreadlock หรือ Cornrow
ทรงผม Dreadlock หรือ Cornrow ถือเป็นทรงผมที่มีประวัติศาสตร์มาอย่างยาวนานของชาวแอฟริกัน และถือว่าเป็นสัญลักษณ์ทางความเชื่อ และศาสนา ซึ่งทรงผม Dreadlock เป็นทรงผมที่มีลักษณะคล้ายกับเปีย แต่จะเน้นถักติดหนังศีรษะเล็ก ๆ เป็นทางยาว รูปร่างดูเหมือนเมล็ดข้าวโพด โดยคนแอฟริกันมักจะทำผมทรงนี้กัน เนื่องจากว่าพวกเขามีผมที่หยิกฟู และโซนเอเชียบ้านเราเอง ก็มีคนดังหลาย ๆ คนที่มักจะทำทรงนี้ออกงานบ่อย ๆ จนเกิดเป็นกระแสวิจารณ์ต่าง ๆ มากมายว่าเหมาะสมหรือไม่ แม้ว่าคนดังหลาย ๆ คน อาจจะไม่ทันได้รู้ และไม่ตั้งใจที่จะดูหมื่นคนแอฟริกัน แต่สิ่งนี้ก็ได้สร้างบาดแผลให้กับใครหลาย ๆ คนไปเสียแล้ว
4. ชุดกี่เพ้า
ในฝั่งเอเชียบ้านเรา ก็เคยมีดราม่าเรื่องการใส่กี่เพ้าด้วยเช่นกัน ชุดกี่เพ้าเป็นชุดที่ชาวจีนให้ความเคารพนับถือ และเป็นชุดที่สะท้อนวัฒนธรรมของชาวจีนได้ดี มีมาตั้งแต่สมัยราชวงศ์ชิง ซึ่งคนจีนทั่วไปนั้น จะไม่สามารถใส่กีเพ้าลายมังกร 5 เล็บได้ เพราะมังกร 5 เล็บ ถือเป็นสิ่งที่สื่อถึงจักรพรรดิ์ แต่ว่าในปัจจุบัน ก็อาจจะมีหลาย ๆ คนที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์ นำชุดกี่เพ้ามาดัดแปลงเป็นชุดต่าง ๆ ซึ่งนี่ ก็สร้างความเจ็บปวดให้ชาวจีนไม่น้อยเลย
5. Fox Eyes
เนื่องจากว่าชาวเอเชียมีตาที่เล็ก จึงทำให้มักจะโดนชาวต่างชาติล้อเลียนเรื่องตา โดยการใช้มือยกหางตาขึ้นไป ให้ตาดูเล็กลงและหยี ซึ่งในอดีต ก็เคยมีคนดังถ่ายรูปลงแอคเค้าท์โซเชียลส่วนตัว ในท่าที่ใช้มือยกหางตาขึ้นไป จนกลายเป็นประเด็นดราม่าร้อนแรง ว่านี่เป็นการเหยียดชาวเอเชียหรือไม่ โดยคนดังที่ตกเป็นประเด็นก็ได้ออกมากล่าวขอโทษ และบอกว่าตนนั้นไม่มีเจตนาจะเหยียดชาวเอเชีย
6. เครื่องหมายสวัสดิกะ
สวัสดิกะ เป็นเครื่องหมายที่มีลักษณะกากบาทหักมุม ในอดีตถูกมองว่าเป็นสัญลักษณ์แห่งความอุดมสมบูรณ์ แต่ทว่าในสมัยฮิตเลอร์ สัญลักษณ์นี้กลับถูกนำมาใช้เพื่อแสดงถึงความเผด็จการ ความเหี้ยมโหด และการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ของชาวยิว และได้กลายเป็นบาดแผลที่อยู่ลึกในจิตใจของคนที่มีเชื้อสายยิวมาหลายร้อยปี ซึ่งในปัจจุบัน เราจะเห็นว่ามีประเด็นดร่าม่าเรื่องสัญลักษณ์สวัสดิกะให้เห็นกันอยู่เป็นพัก ๆ ไม่ว่าจะทั้งในรูปแบบรอยสัก หรือเสื้อผ้า แม้บางคนจะมองว่าเป็นแฟชั่น แต่กับบางคน สัญลักษณ์สวัสดิกะกลับเป็นสิ่งที่ทำให้เขาหวนนึกถึงอดีตที่โหดร้าย
การเหยียดวัฒนธรรมต่างชาติ อาจแฝงอยู่ในรูปแบบต่าง ๆ เช่น การแต่งตัว ท่าเต้น ทรงผม เพลง อาหาร เครื่องประดับ ภาษา หรือรอยสัก เป็นต้น ซึ่งการสอนให้เด็ก ๆ ตระหนักถึงวัฒนธรรมที่ควรรู้ จะช่วยให้เขาระมัดระวังในการแสดงออกมากยิ่งขึ้น และไม่เผลอไปทำร้ายใครเข้าโดยไม่ได้ตั้งใจ
บทความที่เกี่ยวข้อง : สอนลูกยังไงให้ไม่เหยียด กรณีศึกษาจากดราม่า #Ummก็สวยอยู่
ทำยังไงไม่ให้เด็กเหยียดวัฒนธรรมของคนอื่น
วัฒนธรรมบนโลกมีมากมายหลายล้านวัฒนธรรม ซึ่งก็แน่นอน ว่าเราไม่มีทางสอนลูกให้รู้ได้หมดทุกอย่างแน่ ๆ แต่ก็มีบางวิธีที่อาจจะช่วยให้เราป้องกันลูก ๆ ไม่ให้เหยียด หรือดูถูกวัฒนธรรมของคนอื่นได้โดยที่ไม่รู้ตัว ดังนี้
- สอนให้เด็กค้นคว้าหาข้อมูลก่อนที่จะสวมใส่ หรือแสดงออก เกี่ยวกับสิ่งที่มีต้นกำเนิดมาจากต่างประเทศ เพื่อให้รู้ที่มาที่ไปของสิ่งนั้น ๆ
- หากรู้ว่าสิ่งไหนเป็นของศักดิ์สิทธิ์ที่มีต้นกำเนิดมาจากต่างประเทศ ควรหลีกเลี่ยงที่จะนำมาใช้หรือสวมใส่ หากไม่จำเป็นจริง ๆ
- สอนให้เด็กยอมรับในความแตกต่าง ไม่ให้เด็กแบ่งแยก หรือมองว่าคนเชื้อชาตินี้ จะต้องเป็นแบบนั้นแบบนี้ เพื่อไม่ให้เด็กทำท่าทาง หรือแสดงออกอย่างใดอย่างหนึ่ง เพื่อกล่าวถึงคนกลุ่มนั้น ๆ
- หมั่นสอนให้เด็กติดตามข่าวสารอยู่เสมอ เพื่อที่ว่าหากมีประเด็นดราม่าเกี่ยวกับวัฒนธรรมต่างชาติ เด็กจะได้ตระหนักรู้และเข้าใจได้ทัน
การหยิบยืมวัฒนธรรมคนอื่นมาสวมใส่หรือแสดงออก เป็นสิ่งที่ทำกันได้ หากทำในแบบที่สร้างสรรค์ มีเจตนาที่ดี และเหมาะสม เพราะการหยิบยืมวัฒนธรรมที่ดี ก็เป็นการนำเสนอ หรือทำให้วัฒนธรรมนั้น ๆ เป็นที่รู้จักของคนทั่วไปมากยิ่งขึ้น และนอกจากนี้ ก็ไม่ใช่เรื่องที่ผิดอะไร หากเราจะไม่รู้เกี่ยวกับวัฒนธรรมต่างชาติทั้งหมดบนโลกนี้ เพียงแต่ว่าเราต้องคอยระวัง เมื่อต้องการพูด หรือแสดงออก เกี่ยวกับสิ่งที่มีต้นกำเนิดจากต่างประเทศ เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดความขัดแย้ง ซึ่งเด็ก ๆ เอง ก็อยู่ในวัยที่เรียนรู้และซึมซับได้ง่าย หากเราสอนเขาตั้งแต่ยังเด็ก ให้รู้จักระมัดระวังในสิ่งที่จะพูด หรือแสดงออก ก็น่าจะช่วยให้เขาไม่ไปเผลอไปเหยียดวัฒนธรรม หรือไปทำร้ายจิตใจใครได้ง่าย ๆ นะคะ
บทความที่เกี่ยวข้อง :
ผู้ปกครองวอน ครูมีรอยสัก เลิกสอนกลัวเด็กฝันร้าย ครูพ้อหวังเลิกเหยียดผิว
สอนลูกยังไงไม่ให้เหยียด ไม่ดูถูกคนอื่น เพราะความคิดต้องปลูกฝังตั้งแต่ลูกยังเล็ก
อย่าเลี้ยงลูกให้เป็นคนชอบ เหยียด
ที่มา : commisceo-global , dek-d