วันหนึ่ง ลูกชายตัวน้อยของฉันไปงานปาร์ตี้ฮาโลวีนที่บ้านเพื่อน ตอนไปรับลูกหลังปาร์ตี้เลิก ลูกฉีกยิ้มซะแก้มแทบปริ ดูก็รู้ว่าเขาต้องสนุกมากแน่ ๆ
ก่อนกลับ ฉันยืนคุยอะไรนิดหน่อยกับคุณพ่อและคุณยายเจ้าของบ้านที่หน้าประตู
ทั้งคู่บอกว่าลูกฉันเป็นเด็กดี ไม่มีปัญหาอะไร
แต่ระหว่างทางขับรถกลับบ้าน ฉันกลับรู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดี จึงรีบหักพวงมาลัยเข้าลานจอดรถข้างหน้าทันที
ฉันเคยมาที่นี่มาก่อน แต่ตอนนั้นฉันเป็นเด็ก
เวลาพ่อแม่ถามว่า “ลูกเป็นเด็กดีหรือเปล่า” ต่อหน้าเด็กหรือผู้ใหญ่คนอื่น เด็กส่วนใหญ่จะรู้สึกเหมือนโดนกดดันให้ตอบว่า “ใช่”
ตอนนั้นที่ฉันโดนลูกพี่ลูกน้องวัยรุ่นลวนลาม แม่ถามอะไรนิดหน่อยก่อนเราจะออกจากบ้านญาติคนนั้น แต่แม่ไม่ได้เอะใจอะไรเลย
แม่ไม่รู้เลยว่า ก่อนหน้านี้ฉันเพิ่งโดนผู้ชายคนนั้นข่มขู่มาหมาด ๆ
แล้วตอนนี้เขายังอยู่ที่นี่ด้วย แถมยังแอบชูกำปั้นและส่งสายตาเหี้ยม ๆ ขู่ฉันจากข้างหลังแม่ด้วยซ้ำ
“หนูเป็นเด็กดีหรือเปล่า ไม่ดื้อไม่ซนใช่ไหมจ๊ะ”
ถามแบบนี้ต่อหน้าคนที่ทำมิดีมิร้ายกับฉัน เหมือนตอกย้ำให้เด็กอย่างฉันคิดว่า ฉันควรทำตามคำบอกของคนที่รับหน้าที่ดูแลฉันตอนแม่ไม่อยู่
เพราะตอนนั้นฉันตอบไปแล้วว่า “ใช่” จะให้ไปเปลี่ยนคำตอบทีหลังก็คงไม่ได้แล้ว เดี๋ยวต้องอธิบายอีกว่า ทำไมก่อนหน้านี้ถึง “พูดโกหก”
ดังนั้น ในลานจอดรถตรงนั้น ฉันจึงยิงคำถามที่ตรงประเด็นจริง ๆ
คราวหน้า เวลาฝากลูกไว้กับคนอื่น คุณอาจจะลองถามคำถาม 5 ข้อนี้ดูนะคะ ถามตอนอยู่กันตามลำพังสองคนแม่ลูกว่า…
1. หนูทำอะไรบ้าง
2. หนูชอบอะไรในงานปาร์ตี้มากที่สุด
3. หนูไม่ชอบอะไรที่สุด
4. หนูรู้สึกปลอดภัยหรือเปล่า
5. หนูมีอะไรอยากบอกแม่ไหม
พยายามถามคำถามพวกนี้บ่อย ๆ จนเป็นนิสัย
แล้วก็คอยย้ำกับลูกว่า หนูสามารถเล่าอะไรเพิ่มเติมได้เสมอว่าเกิดอะไรขึ้นเวลาพ่อแม่ไม่อยู่ด้วย
ปัญหาของพ่อแม่ส่วนใหญ่ คือ คิดว่าแค่ถามก็รู้ทุกอย่างแล้ว
ความจริง คือ พ่อแม่ต้องถามคำถามที่ถูกต้อง ในสถานการณ์และช่วงเวลาที่เหมาะสม
ที่มา : fascinately.com
บทความที่เกี่ยวข้อง :
ก่อนแม่หัวใจสลาย เรื่องคนแปลกหน้าที่ต้องสอนลูก
ภัยใกล้ตัว! สอนลูกให้รู้ทันก่อนถูก มิจฉาชีพลักพาตัว