ใช่ว่าคำสอนหรือความเชื่อในสมันก่อนจะไม่มีประโยชน์ แต่สำหรับในยุคที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วสมัยนี้ บางคำแนะนำที่พ่อแม่นำมาใช้สอนบอกลูกอาจจะต้องปรับเปลี่ยนกันไปบ้าง อย่างเช่น
#1 “ไม่ต้องไปสนใจเดี๋ยวพวกเขาก็หยุดกันไปเอง”
การปล่อยปละละเลยโดยไม่เข้าไปห้ามเด็ก ๆ ที่กำลังทะเลาะกัน อาจจะยิ่งกลายเป็นปัญหาสังคมเมื่อพวกเขาโตขึ้น ดังนั้นเมื่อลูกของคุณมีปัญหาหรือมองเห็นเหตุการณ์เหล่านี้ ควรจะสอนลูกให้หาวิธีแก้ไขปัญหา หรือสอนลูกไม่ให้กลายเป็นเด็กเกเร อันจะทำไปสู่การทะเลาะวิวาทกันได้
#2 “พวกเขาทำไปเพราะรู้สึกอิจฉาลูก”
คำแนะนำหรือคำปลอบโยนให้ลูกรู้สึกไม่คิดมากที่คนอื่นไม่ชอบ กลายเป็นชนวนที่จะทำให้ลูกมองคนอื่นในแง่ร้าย และไม่ได้มองถึงตัวเองว่าสิ่งที่เราไปทำอะไรในสิ่งที่คนอื่นไม่ชอบจริง ๆ หรือเปล่า
#3 “ที่พวกเขาทำแบบนี้เพราะว่าสนใจในตัวลูก”
บางครั้งความสนใจหรือการยกยอปอปั้นอาจจะทำให้เด็กเกิดความรู้สึกภูมิใจในตัวเอง แต่ก็ไม่ใช่ทุกเรื่องและไม่ใช่ทุกคนที่จะแสดงความสนใจอย่างจริงใจ คุณควรสอนลูกเกี่ยวกับคำเยินยอหรือตัดสินใจเชื่อคนอื่นเพียงเพราะคำพูดที่ทำให้เรารู้สึกดี
#4 “ให้ระวังคนแปลกหน้า”
ถูกต้องแล้วที่ควรสอนให้ลูกระมัดระวังและรู้จักอันตรายจากคนแปลกหน้าหรือคนที่ไม่รู้จัก แต่ควรเพิ่มเติมถึงคนรู้จักที่อาจทำให้ลูกรู้สึกอัดอัด ไม่สบายใจ และทำบางอย่างที่พวกเขาไม่ชอบ เพราะหากไม่ใช่พ่อแม่หรือญาติสนิทคนในครอบครัว ก็ควรจะสอนลูกระมัดระวังตัวเองไว้เสมอเช่นกัน
Read : ก่อนแม่หัวใจสลาย เรื่องคนแปลกหน้าที่ต้องสอนลูก
#5 “หอมแก้มผู้ใหญ่ด้วยซิ”
มันไม่จำเป็นเสมอไปที่การบอกให้ลูกเข้าไปหอมแก้มคนนู้นทีคนนี้ทีเพื่อแสดงออกถึงความรัก หรือการให้คนอื่นมาหอมแก้มลูกตัวเล็ก ๆ ของพวกคุณ เพราะปัจจุบันมีเชื้อโรคและแบคทีเรียที่ส่งผลอันตรายและทำให้ลูกน้อยติดเชื้อได้ง่าย ทั้งจากการหอมแก้มนี้ด้วย และมันเป็นเรื่องอันตรายมากถ้าเด็ก ๆ ไม่ได้รู้ถึงอันตรายจากคนแปลกหน้า ดังนั้นพ่อแม่สามารถสอนให้ลูกปฏิเสธในเรื่องนี้ได้เพื่อป้องกันอันตรายที่อาจเกิดขึ้นโดยไม่รู้ตัว
Read : แชร์ประสบการณ์ ลูกโดนหอมแก้มจนติดเชื้อแบคทีเรีย
Source : www.womansday.com
บทความอื่น ๆ ที่น่าสนใจ :
บัญญัติ 8 ข้อสู่การเลี้ยงลูกให้ประสบความสำเร็จ
5 วิธีสอนลูกให้มีจิตใจดีงาม