วันนี้คุณหมอรพ.เด็กสมิติเวช จะมาบอกว่า โรคภูมิแพ้ คืออะไร โรคนี้เกิดจากเรื่องใกล้ตัวที่คุณพ่อคุณแม่ไม่ควรมองผ่าน

สมาคมโรคภูมิแพ้และอิมมูโนวิทยาแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า คนไทยป่วยด้วย โรคภูมิแพ้ เพิ่มขึ้นจาก 10 ปีที่ผ่านมาสูงขึ้น 3 – 4 เท่าตัว!! โดยพบโรคภูมิแพ้ในระบบทางเดินหายใจ เพิ่มขึ้นถึง 25 – 30% เนื่องจากสภาพอากาศในปัจจุบัน ล้วนเต็มไปด้วยสารก่อภูมิแพ้ ไม่เว้นแม้กระทั่งในบ้านหรือในห้องนอน!!

Loading...
You got lucky! We have no ad to show to you!
ติดต่อโฆษณา

โดยปัจจัยที่ก่อให้เกิด โรคภูมิแพ้ อยู่ใกล้ตัวกว่าที่หลายคนคิด ไม่ว่าจะเป็น ขนของสัตว์เลี้ยง เกสรดอกไม้ในแจกัน ส่วนเฟอร์นิเจอร์หรือเครื่องปรับอากาศในบ้าน ล้วนกลายเป็นแหล่งสะสมของไรฝุ่น ขณะเดียวกัน ยังมีคนอีกมากที่ไม่ทราบว่า โรคภูมิแพ้คืออะไร? วันนี้เราลองมาทำความรู้จักกับ “โรคภูมิแพ้” ไปกับ โรงพยาบาลเด็กสมิติเวช ให้ถ่องแท้กันค่ะ

โรคภูมิแพ้ คืออะไร?

“โรคภูมิแพ้” เกิดจากการที่ร่างกายของเรามีปฏิกิริยาตอบโต้ต่อสารก่อภูมิแพ้ต่างๆ เช่น ไรฝุ่น ขนของสัตว์เลี้ยง แมลงสาบ เกสรดอกไม้ ฯลฯ ทำให้เกิดการอักเสบเรื้อรังที่เยื่อบุอวัยวะ เช่น ผิวหนัง โพรงจมูก ทางเดินอาหาร ฯลฯ

สาเหตุของโรคภูมิแพ้ เกิดจาก 2 ปัจจัย คือ

  • พันธุกรรม หากพ่อหรือแม่เป็นโรคภูมิแพ้ ลูกจะมีโอกาสเป็นโรคภูมิแพ้ร้อยละ 30 – 50 แต่ถ้าทั้งพ่อและแม่เป็นโรคภูมิแพ้ ยิ่งเพิ่มความเสี่ยงในการเป็นโรค สูงขึ้นถึง 50 – 70% ส่วนเด็กที่ครอบครัวไม่มีประวัติเป็นโรคภูมิแพ้เลย จะมีความเสี่ยงลดลงเหลือเพียง 10% เท่านั้น
  • สิ่งแวดล้อม เป็นปัจจัยสำคัญที่กระตุ้นให้เกิดโรคภูมิแพ้ เพราะปัจจุบันสิ่งแวดล้อมรอบตัวล้วนเต็มไปด้วยสารก่อภูมิแพ้ ทั้งในอาหารและอากาศ เมื่อเราเผลอไปสัมผัส หายใจ หรือรับประทาน จึงไปกระตุ้นให้เกิดอาการโรคภูมิแพ้ตามระบบต่างๆ ของร่างกาย เช่น เป็นผื่น ไอ หรือท้องเสีย เป็นต้น

โรคภูมิแพ้ แสดงอาการทางส่วนไหนของร่างกายได้บ้าง?

  1. ระบบทางเดินหายใจ มีอาการน้ำมูกไหล จาม คันจมูก คัดจมูก อาจเรียกอาการรวมๆ ว่า แพ้อากาศ บางครั้งมีอาการรุนแรงมากขึ้น เช่น ไอ แน่นหน้าอก หอบเหนื่อย ซึ่งเป็นอาการของ โรคหืด โดยสาเหตุของโรคภูมิแพ้ของระบบทางเดินหายใจ เกิดจากสารก่อภูมิแพ้ในอากาศ ได้แก่ ไรฝุ่น แมลงสาบ ขนและรังแคของสัตว์เลี้ยง เกสรพืช และเชื้อรา ส่วนในเด็กเล็ก อาจเป็นผลข้างเคียงของการแพ้อาหาร เช่น นมวัว ไข่ บางครั้งอาจแสดงอาการออกมาทางระบบหายใจ อย่าง การหายใจครืดคราด อีกด้วย
  2. ผิวหนัง อาทิ ลมพิษ ผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง หรือผื่นแพ้จากการสัมผัส โดยสาเหตุหลักของลมพิษมักเกิดจากอาหารและยา ซึ่งการแพ้อาหารอาจเกิดจากการดื่มนมวัว หรือทานไข่ จึงทำให้เกิดผื่นบริเวณแก้มในเด็กเล็ก และตามข้อพับในเด็กโต ส่วนผื่นภูมิแพ้ผิวหนังมักเกิดขึ้นในเด็กที่มีคนในครอบครัวเป็นโรคภูมิแพ้
  3. ระบบทางเดินอาหาร สาเหตุส่วนใหญ่มาจากการแพ้อาหาร จะแสดงอาการปวดท้อง อาเจียน ถ่ายเป็นมูกเลือด เป็นต้น
  4. หลายระบบพร้อมกัน ผู้ป่วยบางรายมีอาการแพ้รุนแรงมาก ถึงกับแสดงอาการออกมาพร้อมกันหลายระบบ เช่น หอบ ลมพิษ ช็อก บางครั้งรุนแรงจนถึงแก่ชีวิตภายหลังรับประทานอาหาร เช่น กุ้ง ถั่วลิสง หรือหลังรับยา เพนนิซิลลิน เป็นต้น

ลูกเป็นภูมิแพ้ ดูแลอย่างไร?

Loading...
You got lucky! We have no ad to show to you!
ติดต่อโฆษณา

เมื่อพบแนวโน้มว่าลูกเราอาจเป็นโรคภูมิแพ้ คุณแม่ควรพามาพบแพทย์เพื่อทำการซักประวัติ ตรวจร่างกาย หากต้องการทราบว่าแพ้อะไร คุณหมอจะแนะนำให้เข้ารับการตรวจทางห้องปฏิบัติการ เพื่อวินิจฉัยอาการและรักษาได้อย่างตรงจุด

การทดสอบภูมิแพ้ทางผิวหนัง (Skin Prick Test) เป็นการทดสอบเพื่อตรวจหาว่าผู้ป่วยแพ้สารก่อภูมิแพ้ชนิดใด (สำหรับเด็กเล็กสามารถทำการทดสอบได้เมื่ออายุ 2 ปีขึ้นไปป โดยคุณหมอจะหยดน้ำยาที่เป็นสารสกัดบนท้องแขนหรือหลัง แล้วใช้เข็มสะกิดเบาๆ จากนั้นรอราว 15 – 20 นาที ก็ทราบผลได้ (เพื่อความแม่นยำ คนไข้ต้องงดยาหรือสารต่างๆ ตามคุณหมอสั่งราว 1 สัปดาห์)

เมื่อทราบแน่ชัดแล้วว่า ลูกแพ้อะไร คุณหมอจะแนะนำให้รักษาตามอาการ ดังนี้

Loading...
You got lucky! We have no ad to show to you!
ติดต่อโฆษณา
  • หลีกเลี่ยงสารสารก่อภูมิแพ้ หมั่นทำความสะอาดบ้าน เพื่อป้องกันการสะสมของฝุ่นละออง ขนสัตว์เลี้ยง เกสรดอกไม้ เชื้อราในอากาศ ซักที่นอน หมอน พรม ด้วยน้ำอุณหภูมิมากกว่า 60 องศาเซลเซียส อย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง เพื่อกำจัดไรฝุ่น
  • ยาเฉพาะโรค เป็นการควบคุมอาการ และลดการอักเสบ เพื่อควบคุมอาการของโรคได้ง่ายขึ้น
  • ฉีดวัคซีนภูมิแพ้ โรคภูมิแพ้ในระบบทางเดินหายใจ เช่น โรคแพ้อากาศ โรคหืด อาจไม่สามารถเลี่ยงสารก่อภูมิแพ้ที่ลอยฟุ้งในอากาศได้ หากรักษาตามขั้นตอนแล้วผู้ป่วยยังไม่ดีขึ้น คุณหมออาจใช้วิธีเสริมภูมิคุ้มกัน ด้วยการฉีดสารสกัดที่แพ้เข้าสู่ร่างกายทีละน้อยๆ และค่อยๆ เพิ่มปริมาณขึ้นเรื่อยๆ จนควบคุมอาการได้ ซึ่งอาจใช้เวลาราว 3 – 6 ปี กว่าอาการจะลดน้อยลง

 “ภูมิแพ้” ป้องกันได้ แค่คุณแม่เพิ่มความใส่ใจลูกรักให้มากขึ้น

  • ให้ลูกทานนมแม่อย่างน้อย 6 เดือน เพราะนมแม่มีสารอาหารสำคัญหลายชนิด ที่ช่วยเสริมภูมิต้านทานโรคต่างๆ ควรเริ่มอาหารเสริมเมื่อลูกพร้อม โดยเริ่มจากอาหารที่มีความเสี่ยงต่อการแพ้น้อยๆ อย่าง ข้าว ผักใบเขียว ไก่ หมู
  • จัดบ้านและห้องนอนของลูกให้ปลอดโปร่ง อากาศถ่ายเทได้ดี แสงแดดส่องเข้าถึงภายในห้องได้ และมีของใช้เท่าที่จำเป็น หมั่นปัดกวาด ดูดฝุ่น ซักปลอกหมอน ผ้าปูที่นอน ตุ๊กตา พรม ให้สะอาด เพื่อป้องกันการสะสมของฝุ่นละออง แบคทีเรีย เชื้อรา และไรฝุ่นตัวร้าย
  • หลีกเลี่ยงการเข้าไปอยู่ในสถานที่ที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อระบบหายใจ มีควันบุหรี่ และฝุ่นละอองจำนวนมาก เพราะสิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดโรคภูมิแพ้ได้ง่ายขึ้น

เห็นไหมว่า จริงๆ แล้วโรคภูมิแพ้อยู่ใกล้ตัวมากเสียจนคุณแม่หลายคนอาจเผลอละเลย นอกจากการหันมาใส่ใจดูแลสิ่งแวดล้อมรอบตัวของลูกรักให้เหมาะสมและห่างไกลจากสารก่อภูมิแพ้แล้ว คุณแม่ยังสามารถดาวน์โหลดแอพพลิเคชั่น SAMITIVEJ AR ที่ให้ทั้งความรู้เกี่ยวกับโรคภูมิแพ้ และมอบความสนุกสนาน จากการเล่นเกมจำลองสามมิติ ที่สามารถชวนเจ้าตัวเล็กมาช่วยกันสแกนหาภูมิแพ้ในห้องเสมือนจริง ด้วย 2 ขั้นตอนง่ายๆ

1.ดาวน์โหลดแอพ SAMITIVEJ AR (ใช้ได้ทั้ง App Store และ Play Store)

2.เปิดแอพ SAMITIVEJ AR แล้ว SCAN รูปภาพเพื่อรับความรู้เกี่ยวกับโรคภูมิแพ้ และเพลิดเพลินกับการเล่นเกมสามมิติ ไล่จับเชื้อโรคและสารก่อภูมิแพ้ที่แฝงกายอยู่ตามจุดต่างๆ ภายในบ้านกันได้เลยจ้า

Loading...
You got lucky! We have no ad to show to you!
ติดต่อโฆษณา

 

ขอบคุณข้อมูลจาก : แพทย์หญิง บัณฑิตา บำรุงเชาว์เกษม กุมารแพทย์ด้านภูมิแพ้และวิทยาภูมิคุ้มกัน โรงพยาบาลเด็กสมิติเวช

 

 

Loading...
You got lucky! We have no ad to show to you!
ติดต่อโฆษณา

บทความโดย

theAsianparent Editorial Team