ยิ่งแพ้ท้องหนัก ลูกยิ่งฉลาด
ผลการศึกษาและเฝ้าสังเกตของโรงพยาบาลเด็กจากโตรอนโต เก็บข้อมูลจากผู้หญิงที่ตั้งครรภ์จำนวน 850,000 คน จาก 5 ประเทศ พบว่าผู้หญิง 85% ต้องทรมานกับอาการแพ้ท้องเหล่านี้ เนื่องจากอาการคลื่นไส้นั่นมากจากการที่ฮอร์โมนปล่อย โปรตีนเข้มข้นที่มาจากรกของลูก (Placenta) ส่วนใหญ่แล้วเป็น โกนาโดโทรปิน (gonadotropin) ซึ่งเป็นโทรปิกฮอร์โมน (tropic hormone) เป็นฮอร์โมนที่มีผลให้รังไข่ของคุณแม่สร้างฮอร์โมนืที่จำเป็นต่อการตั้งครรภ์ เช่น เอสโตเจนและโปรเจสเทอโรน ซึ่งหากสร้างมากเกินไปก็จะทำให้คุณแม่คลื่นไส้ได้ค่ะ
นอกจากนี้ยังพบว่าหากคุณแม่มีการอาเจียนบ่อยๆ ลูกในครรภ์ก็จะเป็นเด็กที่แข็งแรงกว่าปกติ ทั้งน้ำหนักและความยาว และอัตราการคลอดก่อนกำหนดก็จะลดลงด้วยค่ะ ส่วนคุณแม่ที่ไม่มีอาการแพ้ท้องอย่างหนักจำนวน 9.5% มีอัตราการคลอดก่อนกำหนด เทียบกับคุณแม่ 6.4% ที่เหลือจะมีอาการไม่สบายท้องหรือปวดท้องบ่อยๆ ยิ่งไปกว่านั้นคือมีอัตราการแท้งบุตรสูงถึง 3 เท่า ในคุณแม่ ที่ไม่มีอาการแพ้ท้องเลย
ต่อมาเมื่อคุณแม่กลุ่มตัวอย่างทั้งหมดคลอดลูกและเด็กๆ มีอายุที่พอจะวัดไอคิวได้ ทีมวิจัยก็ตามไปเก็บข้อมูลทดสอบไอคิวของเด็กๆ ก็พบว่าผลที่ออกมาคือ ยิ่งคุณแม่มีความรุนแรงของอาการแพ้ท้องมากเท่าไหร่ ลูกที่ออกมาก็จะยิ่งมีไอคิวที่สูงตามอาการแพ้ท้อง พัฒนาทางด้านภาษาดีกว่า และมีพฤติกรรมโดยรวมดีกว่าเด็กในกลุ่มอื่นค่ะ
6 เคล็ดลับ รับมืออาการแพ้ท้อง
อาการแพ้ท้อง หรือ Morning Sickness เป็นอาการที่พบบ่อยในช่วงแรกของการตั้งครรภ์ กว่า 80 % ของหญิงตั้งครรภ์มักจะมีอาการแพ้ท้อง โดยจะมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน วิงเวียนศีรษะ และอ่อนเพลียมากกว่าปกติ อาการแพ้ท้องมักจะมีอาการชัดขึ้นในช่วงสัปดาห์ที่ 6 ของการตั้งครรภ์ และมีอาการมากที่สุดประมาณช่วงสัปดาห์ที่ 8 – 10 ของการตั้งครรภ์ แต่อาการจะดีขึ้นเมื่อมีอายุครรภ์มากกว่า 3 เดือน สาเหตุหลักของอาการแพ้ท้องมาจากการที่ร่างกายมีระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนและฮอร์โมนเอชซีจี (HCG – Human Chorionic gonadotropin) ที่รกสร้างสูงขึ้น คนท้องแต่ละคนก็จะมีอาการแพ้ท้องต่างกันไป บางคนแพ้ท้องตลอดการตั้งครรภ์ บางคนก็แทบจะไม่มีอาการแพ้ท้องเลย เรามี เคล็ดลับ รับมืออาการแพ้ท้อง มาฝากครับ
#1 กลิ่นหอมจากน้ำมันหอมระเหยเปเปอร์มินท์
แม่ท้องมักจะมีความไวต่อกลิ่นต่างๆ ซึ่งกลิ่นบางกลิ่นก็อาจเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการแพ้ท้องได้ แต่กลิ่นหอมบางกลิ่นก็ช่วยลดอาการแพ้ท้องได้เช่นกลิ่นจากน้ำมันหอมระเหยเปเปอร์มินท์ โดยคุณอาจเติมน้ำมันหอมระเหยชนิดนี้ไว้ในห้องตอนกลางคืน เมื่อตื่นขึ้นมาในตอนเช้าก็จะสามารถช่วยลดอาการแพ้ท้องได้
#2 ขิง
ขิง เป็นสมุนไพรที่ช่วยลดอาการแพ้ท้องได้ มีสรรพคุณในการช่วยบรรเทาอาการคลื่นไส้ ท้องผูก และอาการแสบร้อนได้เป็นอย่างดี คุณแม่สามารถดื่มน้ำขิงสดผสมกับชาเพื่อลดอาการแพ้ท้อง รวมทั้งสามารถนำไปผสมกับน้ำผลไม้ชนิดอื่น หรือชงดื่มร้อนๆก็ได้นะครับ
#3 อย่าปล่อยให้ท้องว่าง
เมื่อมีอาการแพ้ท้อง คลื่นไส้ อาเจียน สิ่งสุดท้ายที่คุณมักจะนึกถึงก็คืออาหาร แต่อย่างไรก็ตาม หากแม่ท้องกินอาหารตามเวลาในปริมาณที่พอเหมาะ ไม่อดอาหาร เมื่อในท้องมีอาหารก็จะช่วยต่อสู้กับอาการแพ้ท้องได้
หากปล่อยให้ท้องว่างก็จะทำให้คลื่นไส้มากกว่าเดิม ดังนั้นอาจจะหาขนมหรือขนมปังติดบ้านหรือติดตัวไว้เวลาหิว หรืออาจจะใช้วิธีเปลี่ยนจากการกินอาหารมื้อปกติสามมื้อ มาเป็นอาหารมื้อเล็กห้ามื้อดูก็ได้นะครับ
#4 ดื่มน้ำมากๆ
หญิงตั้งครรภ์ที่มีอาการแพ้ท้องควรดื่มน้ำมากๆ หรืออาจจะดื่มน้ำผลไม้ หรือนมเพิ่มไปก็ได้ ซึ่งของเหลวเหล่านี้จะช่วยบรรเทาอาการแพ้ท้องได้ นอกจากนั้นการดื่มน้ำมากๆยังจะช่วยป้องกันอาการเหนื่อยล้า อาการบวม และอาการวิงเวียนศีรษะ อีกทั้งลูกน้อยในครรภ์ยังได้รับประโยชน์จากน้ำที่แม่ท้องดื่มเข้าไปด้วย เพราะน้ำจะช่วยให้ร่างกายดูดซึมสารอาหารที่จำเป็นเข้าสู่เซลล์ ลำเลียงวิตามิน แร่ธาตุ และฮอร์โมนให้กับเซลล์เม็ดเลือด ซึ่งจะส่งผ่านรกไปยังลูกในครรภ์ได้
#5 ฝึกสมาธิ
ความเครียดก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้เกิดอาการแพ้ท้อง หากแม่ท้องได้มีการนั่งสมาธิเพื่อช่วยผ่อนคลายความเครียด ก็จะช่วยบรรเทาอาการแพ้ท้องได้บ้าง นอกจากนั้นยังเป็นการทำให้จิตใจซึ่งจะส่งผลดีต่อลูกในท้องนะครับ
#6 นอนพักผ่อนให้เพียงพอ
ยิ่งแม่ท้องมีอาการอ่อนเพลียมากเท่าไร ก็จะยิ่งทำให้อาการแพ้ท้องยิ่งแย่ลงมากขึ้นเท่านั้น คุณควรฟังเสียงร่างกายของคุณ เพราะบางครั้งมันก็ส่งสัญญาณเพื่อจะบอกกับคุณว่า ถึงเวลาที่คุณควรนอนพักผ่อนบ้างได้แล้วล่ะ หากคุณมีงานคั่งค้างหรือมีสิ่งที่ต้องทำมากมาย อย่างน้อยควรหาเวลาสั้นๆเพื่องีบหลับระหว่างวันก็พอช่วยได้อยู่บ้าง
หากคุณแม่ท่านใดมีเคล็ดลับ รับมืออาการแพ้ท้อง ที่ลองแล้วได้ผลดี ก็สามารถนำมาแชร์แลกเปลี่ยนประสบการณ์ให้กับผู้อ่านท่านอื่นได้ทราบบ้างนะครับ