แชร์ประสบการณ์ เรื่องสะเทือนใจที่สุดในชีวิต เมื่อเผชิญกับภาวะแท้งคุกคาม

เรื่องจริงของคุณแม่ที่อยากมีลูกใจจะขาด แต่เมื่อตั้งครรภ์กลับเกิด “ภาวะแท้งคุกคาม” แค่อ่านเรื่องของเธอยังไม่ทับจบ ก็แทบจะร้องไห้ รู้เลยว่าหัวอกคนเป็นแม่ที่เห็นลูกเสียไปต่อหน้าต่อไปรู้สึกอย่างไร นี่คือเรื่องแชร์ประสบการณ์ที่อ่านแล้วสะเทือนใจ เมื่อแม่ต้องเผชิญกับภาวะแท้งคุกคาม จนต้องสูญเสียลูกไปในสัปดาห์ที่ 6 ของการตั้งครรภ์

การเผชิญกับภาวะแท้งคุกคาม ไม่รู้เลยว่ามันเป็นยังไง แค่ฟังชื่อก็ใจเสียแล้ว

หลังจากรอคอยมาเกือบ 5 ปี ต้นเดือนมีนาคม 2555 ก็ได้ตั้งครรภ์ลูกคนแรก ซึ่งตอนที่รู้อายุครรภ์ประมาณ 3 สัปดาห์ จึงได้ไปหาหมอและฝากครรภ์ แต่หมอบอกว่ามีลูกตอนอายุเกิน 35 (ตอนนั้น อายุ 38) ต้องตรวจให้ละเอียด เพื่อให้มั่นใจว่าไม่ใช่เป็นการตั้งครรภ์นอกมดลูก แต่เพราะอายุครรภ์ยังน้อยไม่สามารถอัลตราซาวนด์ผ่านหน้าท้องได้ จึงได้ทำการอัลตราซาวนด์ทางช่องคลอดแทน เมื่อพบว่าตัวอ่อนฝังตัวในมดลูกปกติ ก็ได้จัดยาบำรุงและยาแก้แพ้มาให้ แต่ว่าท้องแรกมีอาการแพ้เพียงแค่ไม่กี่วันนับจากที่ไปหาหมอ จากนั้นก็ใช้ชีวิตปกติ จนผ่านไปประมาณสิบวัน อยู่มาคืนหนึ่งขณะเข้าห้องน้ำ สังเกตว่ามีเลือดเป็นหยดสีชมพูจางๆ ติดที่กางเกงชั้นใน แต่ก็พยายามไม่คิดอะไรมาก ลองค้นหาข้อมูลในอินเตอร์เน็ต ก็ไปเจอเรื่อง เลือดล้างหน้าเด็ก ที่เกิดจากตัวอ่อนฝังตัวในระยะแรกๆ ก็รู้สึกใจชื้นขึ้น คิดว่าน่าจะคล้ายกับเคสของตัวเอง แต่พอวันต่อๆ มา สีของเลือดได้เข้มขึ้น และขนาดของหยดเลือดก็ใหญ่ขึ้น จึงตัดสินใจไปหาหมอ โดยได้ถ่ายรูปไปให้หมอดูด้วย ซึ่งหมอก็อัลตราซาวนด์ดูให้ก็พบทุกอย่างยังปกติ จึงกลับบ้าน แต่ถัดจากนั้นประมาณสี่วัน ไม่ได้มีเพียงแค่หยดเลือด แต่มีลิ่มเลือดสดๆ ติดออกมาด้วย จึงไปปรึกษาหมอ คราวนี้หมอวินิจฉัยว่า เราน่าจะกำลังเผชิญกับภาวะแท้งคุกคาม ซึ่งไม่รู้ข้อมูลมาก่อนเลยว่ามันเป็นยังไง แต่แค่ฟังชื่อก็ทำให้ใจเสียไปแล้ว

พยายามทำตัวนิ่งๆ ที่สุดเพื่อให้ผ่านพ้นภาวะนี้ไปให้ได้

หมอจึงฉีดยากันแท้งให้และแนะนำวิธีปฏิบัติตัวเพื่อให้สามารถผ่านพ้นภาวะนี้ไปได้ นั่นคือการให้อยู่นิ่งๆ มากที่สุด เคลื่อนไหวให้น้อยที่สุด เพื่อให้ครรภ์กระทบการเทือนน้อยที่สุด แต่การจะให้นอนโรงพยาบาลหมอบอกว่าจะเป็นการสิ้นเปลืองค่าใช้จ่าย จะมีข้อดีอย่างเดียวคือ มีคนเอาข้าวเอาน้ำมาส่งให้ และมีคนคอยดูแลพาไปห้องน้ำ เช็ดตัวได้เมื่อต้องการ ซึ่งถ้าที่บ้านมีคนดูแลอยู่ก็แนะนำให้อยู่ดูอาการที่บ้านน่าจะดีกว่า ไม่ต้องอึดอัดอยู่ในห้องแคบ เราก็ได้ทำตามที่หมอแนะนำ วันทั้งวันแทบจะไม่ได้ขยับไปไหนเลย ยกเว้นเวลาเข้าห้องน้ำ และทุกครั้งที่เข้าห้องน้ำก็จะต้องเจอกับภาพเลือดที่หยดออกมา สองหยดบ้างสามหยดบ้าง ทำเอาน้ำตารื้นแทบทุกครั้งเพราะความกังวล อยู่แบบเคลื่อนไหวน้อยที่สุดได้ไม่ถึงสามวันก็ต้องไปหาหมออีก เพราะแทนที่เลือดจะหยดน้อยลง กลับหยดมากกว่าเดิม หมอก็ฉีดยากันแท้งให้อีก พยายามทำใจไม่ให้คิดมากกับสิ่งที่เจอ เวลานอนก็จะตั้งจิต และสวดมนต์ เพื่อขอให้บุญกุศลที่เคยทำมาส่งผลให้สามารถฝ่าฟันอุปสรรคทุกอย่างไปได้

โชคชะตาไม่เข้าข้าง เมื่อเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นต่อหน้าต่อตา โปรดอ่านหน้าถัดไป >>

ความเจ็บปวดถาโถม เมื่อได้เผชิญสิ่งที่เห็นต่อหน้าต่อตา

แต่เหมือนโชคชะตาจะไม่เข้าข้าง หลังจากผ่านไปได้ห้าวัน ในคืนวันที่ 29 มีนาคม จนถึงเช้าวันที่่ 30 มีนาคม ซึ่งนับอายุครรภ์อยู่ได้ประมาณ 6 สัปดาห์ มีอาการปวดหลังอย่างมาก ก็คิดว่าคงเพราะการนอนนิ่งๆ ไม่ขยับนานเกินไปในแต่ละวันทำให้รู้สึกปวดเมื่อย แต่สิ่งที่แตกต่างเพิ่มขึ้นมาคือการปวดบริเวณกระดูกเชิงกราน และท้องน้อย ปวดบิดๆ เหมือนคนท้องเสีย อาการปวดรุนแรงขึ้นๆ จนเวลาประมาณก่อนแปดโมง ก็รู้สึกอยากเข้าห้องน้ำ แต่จังหวะที่กำลังยันตัวเองลุกขึ้นนั้นเองมีความรู้สึกเหมือนมีอะไรหลุดออกมาจากช่องคลอด ความรู้สึกเหมือนตอนเป็นประจำเดือนแล้วมีลิ่มเลือดหรือก้อนเลือดหลุดออกมาติดผ้าอนามัย จึงประคองตัวเองไปเข้าห้องน้ำ แต่พอถอดกางเกงออกเท่านั้น ก็ต้องร้องกรี๊ดเสียงดังมาก เรียกให้สามีเข้ามาดู เพราะสิ่งที่เห็นคือ ถุงขนาดเล็กสามารถมองเห็นภายในได้ลางๆ ตัวถุงเปื้อนไปด้วยเลือดพร้อมกับมีเหมือนเส้นอะไรสักอย่างคล้ายเส้นเลือดติดกับถุงนั้นด้วย สัญชาตญาณบอกทันทีว่านั่นคือ ลูกของแม่!! แต่เจ้าไม่ได้อยู่ในตัวแม่อีกต่อไปแล้ว เรี่ยวแรงจะยืนขึ้นไม่มีเลย ปากได้แต่พูดว่า ลูกแม่ๆ ทำไมๆ จนสามีต้องเข้ามาประคอง สิ่งที่บีบหัวใจเราสองคนที่สุดคือการต้องเอามือหยิบถุงน้อยๆ นั้นเอามาใส่ในมือ แล้วนำไปใส่ในถุงพลาสติก เพราะถุงนั้นบอบบางจนกลัวว่าจะพลั้งมือทำให้ถุงนั้นแตก สองคนเฝ้ามองสิ่งที่อยู่ตรงหน้าด้วยน้ำตาที่ไหลออกมาไม่หยุด นานเท่าไหร่ไม่รู้ได้ จนสามีตั้งสติได้บอกว่าให้ไปหาหมอ ให้หมอช่วยดู จึงนึกได้ว่าตัวเองได้แท้งลูกไปแล้ว และต้องไปหาหมอให้เร็วที่สุด เพราะเสียเลือดเยอะ

เป็นเหตุการณ์ที่สูญเสียที่มากที่สุดในชีวิต ร้องไห้มากที่สุดในชีวิต สะเทือนใจที่สุดในชีวิต

เมื่อหมออัลตร้าซาวนด์ดูก็พบว่า เป็นการแท้งครบ ไม่มีส่วนใดของเด็กที่หลุดหลงเหลือในท้อง จึงไม่ต้องขูดมดลูก และหมอถามว่าจะขอเก็บซากของทารกที่แท้งไปให้ทางแล็ปตรวจได้หรือไม่ เพื่อจะได้วินิจฉัยหาสาเหตุการแท้งว่า เป็นเพราะเด็กไม่แข็งแรงจึงแท้งไปเอง หรือเป็นเพราะตัวแม่หรือโรคอะไรที่ทำให้เกิดการแท้ง เพื่อจะได้ระวังหากอยากจะมีการตั้งครรภ์ครั้งต่อไป เราสองคนตัดสินใจอยู่นาน เพราะเพิ่งเสียลูกไป คิดว่าลูกก็คงทรมาณมากอยู่แล้ว และต้องมาให้ลูกกับคนอื่นอีก ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเค้าจะทำอะไรด้วยวิธีไหนบ้าง แต่เพราะไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไรต่อไป จึงทำตามที่หมอบอก จากนั้นก็เดินทางไปวัดทั้งๆ ที่ร่างกายอ่อนแอสุดๆ แต่ใจอยากทำบุญให้ลูก ขออโหสิกรรมกับลูก และขอพรพระให้ลูกได้ไปอยู่ที่ดีๆ และกลับมาอยู่กับพ่อแม่อีกหากมีวาสนาต่อกันในภายภาคหน้า การสูญเสียที่มากที่สุดในชีวิต ร้องไห้มากที่สุดในชีวิต ไม่มีคืนไหนเลยที่จะนอนหลับสนิท ไม่มีคืนไหนที่หมอนจะไม่เปื้อนน้ำตา การจะผ่านแต่ละคืนไปได้เป็นไปอย่างยากเย็น วันไหนพอจะมีแรงก็จะไปที่วัดเพื่อทำบุญ และสวดมนต์ให้ลูกที่เสียไป จนมีวันหนึ่งมีคนมาเตือนสติว่า หากมัวแต่เสียใจ ลูกที่เค้าอยากจะกลับมาเกิดก็คงไม่มีโอกาส ให้พยายามทำใจให้สดชื่นแจ่มใส เตรียมร่างกายให้พร้อม หากมีโอกาส มีวาสนาต่อกันลูกก็สามารถมาได้เลย

เลิกเศร้า ความหวังใหม่ในการตั้งครรภ์ครั้งต่อไป

หลังจากนั้นทางโรงพยาบาลโทรมาแจ้งเรื่องสาเหตุการแท้ง ว่ามาจากตัวทารกเองไม่แข็งแรง ไม่สามารถเจริญเติบโตต่อได้ และเมื่อได้รับการยืนยันจากหมอว่าจากการแท้งครบ ก็สามารถตั้งครรภ์ต่อได้ หลังจากให้ร่างกายฟื้นตัวสี่ห้าเดือน ทำให้มีความหวังเรื่องตั้งครรภ์อีกครั้ง ตั้งแต่นั้นมาจึงพยายามดึงตัวเองออกจากความโศกเศร้า พยายามหาข้อมูลเกี่ยวกับภาวะต่างๆที่อาจทำให้เกิดการแท้ง เพื่อจะได้รู้วิธีป้องกันและระวังไว้หากตั้งครรภ์อีก แม้นั่นจะเป็นเพียงความหวังเล็กๆ แต่ก็เป็นแรงผลักให้มีชีวิตต่อไปเพื่อรอคอยการกลับมาอีกครั้งของลูกแม่ และนี่คือประสบการณ์การเผชิญกับภาวะแท้งคุกคาม จนต้องสูญเสียลูกไปในสัปดาห์ที่ 6 ของการตั้งครรภ์

“ภาวะแท้งคุกคาม” เป็นภาวะที่ไม่มีวิธีรักษา มีแต่วิธีประคองเพื่อให้การตั้งครรภ์ผ่านพ้นไปได้ แต่ก็ต้องขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ยากันแท้งที่หมอฉีดให้ ซึ่งจริงๆ หมอก็บอกเองว่าไม่สามารถช่วยกันแท้งได้ แต่เหมือนเป็นการเอากาวไปติดเพื่อให้ตัวอ่อนฝังตัวได้แน่นขึ้น จนสามารถเติบโตได้ดีขึ้นและทำให้การตั้งครรภ์ดำเนินต่อไปได้มากกว่า แต่ที่เรียกว่ายากันแท้งก็เพื่อให้คนที่ตั้งครรภ์ได้สบายใจ แต่หากท้ายที่สุดแล้วไม่ว่าจะยังไงตัวอ่อนก็ไม่สมารถเติบโตต่อไปได้ การแท้งก็ต้องเกิดขึ้น ยากันแท้งเองก็ไม่สามารถช่วยอะไรได้เลย

เมื่อมีการแท้งเกิดขึ้น ความเสียใจเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่อยากเป็นกำลังใจให้คนที่เจอกับเหตุการณ์คล้ายๆ กันนี้ว่า เมื่อตั้งสติได้แล้ว ลองนึกถึงอนาคตข้างหน้า ยังมีโอกาสที่รอเราอยู่ ควรต้องเตรียมตัวให้พร้อมเพื่อจะได้ไปไขว่คว้าโอกาสนั้นอีกครั้ง โอกาสที่เราจะได้ลูกมาเชยชมและเติมเต็มความสุขให้กับทุกคนในครอบครัวอีกครั้ง

###################

บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ
คุณแม่แชร์ประสบการณ์ ท้องแข็งบ่อยระวังคลอดก่อนกำหนด
แชร์ประสบการณ์ ลูกป่วยบ่อย อายุ 1 ขวบ หนักแค่ 5 โล ผ่าตัดไม่ต่ำกว่า 5 ครั้ง

บทความโดย

Napatsakorn .R