เลือกโรงเรียนให้ลูก พ่อแม่ควรเลือกแบบไหน อย่างไรดี?

เลือกโรงเรียนให้ลูก พ่อแม่ควรเลือกแบบไหน โรงเรียนธรรมดา กับโรงเรียนทางเลือกต่างกันอย่างไร ก่อนส่งลูกเข้าเรียนอนุบาล พ่อแม่ต้องพิจารณาจากอะไรบ้าง

Loading...
You got lucky! We have no ad to show to you!
ติดต่อโฆษณา

เลือกโรงเรียนให้ลูก เลือกแบบไหนดี

นพ.นิธิ หล่อเลิศรัตน์ กุมารแพทย์ โรงพยาบาลกรุงเทพ ได้ให้คำแนะนำกับ theAsianparent ไว้ว่า ปัจจุบัน รูปแบบของการศึกษาในประเทศไทยมี 2 แนวทางด้วยกัน ได้แก่ แนวทางหลักที่เน้นภาควิชาการ เน้นการเตรียมเด็กแข่งขันต่าง ๆ ซึ่งโรงเรียนที่มีชื่อเสียงส่วนใหญ่เป็นแบบนี้ และแนวพัฒนาบุคลิกภาพของเด็ก ซึ่งก็คือโรงเรียนทางเลือกที่ไม่เน้นสอนเด็กเกี่ยวกับวิชาการมากนัก แล้วแบบนี้พ่อแม่ควร เลือกโรงเรียนให้ลูก แบบไหนดีนะ?

โรงเรียนทางเลือกดีอย่างไร

ความพิเศษของโรงเรียนทางเลือกก็คือ การเรียนการสอนโดยใช้พื้นฐานมาจากการเล่นของเด็กค่ะ เน้นการพัฒนาทางทักษะต่าง ๆ จากความสามารถเฉพาะตัวของเด็ก ให้เด็กศูนย์กลางของการเรียนรู้ และมีการปรับการเรียนการสอนที่เหมาะสมกับเด็กอยู่เสมอ ทำให้เด็กๆ สนุกกับการเรียนรู้มากกว่าการยัดเยียดข้อมูลทางวิชาการค่ะ อีกทั้งจำนวนนักเรียนในชั้นเรียนก็ไม่มาก ทำให้มีอัตราส่วนของนักเรียนกับคุณครูมีความเหมาะสมกันด้วย

เลือกโรงเรียนให้ลูก

โรงเรียนทางเลือกมีกี่รูปแบบ อะไรบ้าง

จริง ๆ แล้ว โรงเรียนทางเลือกมีหลายรูปแบบมาก มีหลายหลายหลักสูตรและหลากหลายรูปแบบการเรียนการสอน เช่น แบบมอนเตสเซอรี่ (Montessori) แบบโครงการ (Project Approach) แบบวอลดอร์ฟ (Waldorf) แบบพหุปัญญา (Multiple Intelligence) เแบบนีโอ-ฮิวแมนนิสต์ (Neo-Humanist Education) แบบเรกจิโอ เอมิเลีย แบบไฮสโคป (High Scope) และแบบภาษาธรรมชาติ (Whole Language Approach) เป็นต้น ซึ่งในที่นี่จะขออธิบาย 3 รูปแบบ ดังนี้

1. รูปแบบมอนเตสซอรี่ (Montessori)

โรงเรียนรูปแบบนี้ ใช้แนวคิดที่เชื่อว่าเด็กเรียนรู้ผ่านการซึมซับ และเชื่อว่าเด็กจะเรียนรู้ได้เอง โดยมีครูเป็นผู้ที่ช่วยในการสนับสนุนให้เด็กเกิดการเรียนรู้ ทำให้เด็กรู้จักการลองผิดลูกถูกลองการใช้ชีวิตที่เป็นระบบผ่านการใช้เครื่องมือและอุปกรณ์ต่าง ๆ รวมถึงยังให้เด็ก ๆ ได้เรียนคละกันทั้งเด็กเล็ก และเด็กโต เพื่อให้เด็กได้เรียนรู้การอยู่ร่วมกัน โดยการส่งเสริมให้คำนึงถึงการอยู่ร่วมกันในสังคมอย่างมีคุณภาพ และรู้จักเกื้อกูลกัน ผ่านกิจกรรมที่เรียกว่า Practical Life และเป็นการป้องกันการกลั่นแกล้งกันระหว่างเด็กเล็กและเด็กโตด้วยค่ะ

จุดเด่นของโรงเรียนรูปแบบนี้คือ

  • เครื่องมือที่ใช้ในสื่อการเรียนการสอน จะเป็นแนวทางให้เด็กเกิดการเรียนรู้ตามเส้นทางที่วางไว้ เปรียบเสมือนกับการสอนให้เด็กลากเส้นบนกระดานทรายที่คุณครูได้วาดเอาไว้แล้ว
  • ให้รู้จักพึ่งพาตนเอง เช่น ฝึกให้เด็กกินข้าวเอง จัดจานเอง เข้าห้องน้ำเอง โดยที่โรงเรียนต้องจัดสภาพแวดล้อมให้เหมาะสมกับเด็กด้วย เช่น ที่ล้างมือ โถส้วม ก็ต้องเป็นขนาดของเด็กค่ะ

2. รูปแบบวอลดอร์ฟ (Montessori)

โรงเรียนรูปแบบนี้ เน้นการเรียนการสอนผ่านหลักปรัชญาพื้นฐาน โดยอ้างอิงจากปรัชญาทั้งหมด ทำให้เด็กได้รู้จักถึงความเป็นมนุษย์ รู้จักความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับสิ่งแวดลล้อม ทำให้เด็ก ๆ สามารถค้นหาศักยภาพของตนเองได้เอง โดยที่ไม่ได้ต้องทำตามค่านิยมของคนในสังคมแต่อย่างใด

Loading...
You got lucky! We have no ad to show to you!
ติดต่อโฆษณา

จุดเด่นของโรงเรียนรูปแบบนี้คือ

  • เน้น! กิจกรรมการเล่น ความสัมพันธ์ระหว่างครู ความสัมพันธ์ระหว่างเด็กกับเพื่อน ความสัมพันธ์ระหว่างเด็กกับสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นการเรียนรู้ที่เป็นไปตามพัฒนาการจนทำให้เด็กสามารถค้นหาตัวตนของตัวเองเจอ และพัฒนาเป็นศักยภาพเฉพาะบุคคลได้
  • เด็กจะเริ่มเรียนตั้งแต่ที่มาของตัวอักษรก่อนในช่วยต้น แล้วค่อยเรื่มที่การอ่านตัวอีกษร การอ่านผสมคำตวอักษรไปเรื่อยๆ การเขียน ซึ่งต้องเข้าใจก่อนว่ารูปแบบนี้เด็กจบอยุบาลแล้วอาจยังไม่เริ่มิ่านเขียนเลยด้วยซ้ำ กว่าจะเริ่มเรียนก็ต้องให้ขึ้นชั้นประถมก่อนค่ะ

3. รูปแบบเรกจิโอ เอมิเลีย (Reggio Emilia)

โรงเรียนรูปแบบนี้ เป็นการนำทฤษฎีการสื่อสารของเด็กเล็กมาใช้ แรกเริ่มนั้นมักจะใช้กับในโบสถ์จะออกแนวทางศาสนามากกว่า เน้นที่สภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อเด็กคล้ายกับแบบแรก โดยให้เด็กเรียนรู้จากการใช้สื่อ และการเลือกเอาสิ่งที่เด็กสนใจมาใช้ในการเรียนการสอน ไม่มีหลักศูตรการเรียนที่ตายตัวค่ะ รวมถึงการใช้การจดบันทึกในการสื่อสารด้วย ที่มีทั้ง การสื่อสารระหว่างพ่อแม่กับครู ครูกับนักเรียน และระหว่างคุณครูในโรงเรียนและต่างโรงเรียนด้วยค่ะ

จุดเด่นของโรงเรียนรูปแบบนี้คือ

Loading...
You got lucky! We have no ad to show to you!
ติดต่อโฆษณา
  • การลองผิดลองถูก แต่เป็นการลองผ่านทางครู หากครูพบว่าผิดก็จะมีการแก้ไขให้ถูกต้อง
  • การทำงานเป็นกลุ่ม การแสดงความคิดเห็น ซึ่งเป็นการเพิ่มมิติทางสังคม โดยการใช้การเรียนการสอนที่เรียกว่า project base คือ การเลือกเรื่องหรือประเด็นจากสิ่งที่เด็กสนใจ แล้วให้เด็กทำงานกันเป็นกลุ่ม ซึ่งจะเลือกทำทั้งห้อง หรือเลือกทำเฉพาะกลุ่มเด็กผู้ชาย และกลุ่มเด็กผู้หญิงก็ได้ ซึ่งระยะเวลาของโปรเจคจะแตกต่างกันไปไม่แน่นอนค่ะ อาจจะทำทั้งปี หรือทั้งเทอมก็ได้
  • การนำเอาศิลปะมาใช้เพื่อการสื่อสาร เพื่อใช้ในกระบวนการคิดการทำงาน อาจจะเป็นการใช้สี แสง งานปั้น การเคลื่อนไหวทางร่างกาย และดนตรี

เมื่อคุณพ่อคุณแม่ได้รู้จักโรงเรียนทางเลือกแต่ละรูปแบบแล้ว ตอนนี้คงจะมีคำตอบอยู่ในใจแล้วว่าอยากให้ลูกเลือกเรียนโรงเรียนแบบไหน แต่อยากจะแนะนำอีกนิดนะคะว่า ให้ลองเข้าไปพูดคุยกับคุณครู ดูสภาพแวดล้อมจริงของทางโรงเรียน หรืออาจจะพาลูกน้อยไปดูด้วยก็ได้นะคะ

ขอขอบคุณ นพ.นิธิ หล่อเลิศรัตน์ กุมารแพทย์ โรงพยาบาลกรุงเทพ และ พญ.มัณฑนา ชลานันต์ กุมารแพทย์ด้านพัฒนาการและพฤติกรรม โรงพยาบาลกรุงเทพ ที่สละเวลามาให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์และน่าสนใจกับ theAsianparent Thailand ด้วยนะคะ

Loading...
You got lucky! We have no ad to show to you!
ติดต่อโฆษณา

บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ:

ควรให้ลูกควรเข้าโรงเรียนตอนกี่ขวบ ให้ลูกเข้าเรียนเตรียมอนุบาลเลยดีไหม

ข้อดีและข้อเสียของการให้ลูกเข้าโรงเรียนเตรียมอนุบาล

ก่อนเข้าเรียนอนุบาล ลูกต้องทำอะไรเป็นบ้าง

บทความโดย

Khunsiri