อาการท้องเสียในเด็กจากโรคไทฟอยด์

ไม่นานมานี้มีความตื่นตระหนกของผู้ปกครองจากข่าวโรคไทฟอยด์ระบาดในโรงเรียนนานาชาติแห่งหนึ่งเผยแพร่ออกทางโทรทัศน์ คุณพ่อคุณแม่ต้องการพาลูกไปฉีดวัคซีนป้องกันไทฟอยด์กันเป็นจำนวนมาก แต่จริงๆ แล้วเป็นอาการท้องเสียจากการติดเชื้อแบคทีเรีย “ซัลโมเนลลา (Salmonella)” กลุ่มที่ไม่ใช่ไทฟอยด์ เรามาศึกษาเรื่องโรคนี้กัน เพื่อความเข้าใจที่ถูกต้องนะคะ

Loading...
You got lucky! We have no ad to show to you!
ติดต่อโฆษณา

เชื้อ Salmonella มีลักษณะอย่างไร และแบ่งเป็นกี่ชนิด? ไข้รากศาสตร์น้อย เชื้อ Salmonella เป็นเชื้อ แบคทีเรียรูปแท่งแกรมลบ สามารถแบ่งกลุ่มใหญ่ ๆ ตามอาการและความรุนแรงที่ก่อโรคได้เป็น

 

1. กลุ่มไทฟอยด์ ได้แก่ เชื้อ Salmonella typhi ทำให้เกิดอาการในระบบทางเดินอาหาร คือ ท้องเสีย มีอาการรุนแรง ไข้สูงยาวนาน ติดเชื้อในกระแสเลือดได้บ่อย ซึ่งเรียกกันว่า “โรคไข้รากสาด” และ เชื้อ Salmonella paratyphi A, B หรือ C ซึ่งทำให้เกิดอาการคล้ายกับ เชื้อ Salmonella typhi แต่มีความรุนแรงน้อยกว่า จึงเรียกกันว่า “โรคไข้รากสาดน้อย”

2. กลุ่มไม่ใช่ไทฟอยด์ (Non-typhoidal Salmonella) แบ่งเป็นกลุ่ม A B C D ตามลักษณะทางปฏิกริยาของน้ำเหลืองต่อแบคทีเรีย และคุณสมบัติทางชีวเคมี มักทำให้เกิดอาการท้องเสียที่ไม่รุนแรง สามารถหายได้เองภายใน 3-7 วัน
ในที่นี้เราจะเน้นที่โรคไทฟอยด์ ซึ่งเกิดจากเชื้อ Salmonella typhi ที่ทำให้เกิดอาการรุนแรงกว่านะคะ

โรค ไทฟอยด์คืออะไร

โรคไทฟอยด์สามารถติดต่อได้อย่างไร?

การติดต่อของโรคไทฟอยด์เกิดจากการรับประทานอาหารหรือดื่มน้ำปนเปื้อนเชื้อ Salmonella typhi อยู่ โดยเชื้อจะอยู่ในอุจจาระติดอยู่ที่มือของผู้ป่วยหรือผู้ที่เป็นพาหะของเชื้อนี้ คือมีเชื้อโรคอยู่ในร่างกายแต่ไม่มีอาการ

โรคนี้พบได้ทุกช่วงอายุ แต่พบในเด็กมากกว่าผู้ใหญ่นะคะ

Loading...
You got lucky! We have no ad to show to you!
ติดต่อโฆษณา

อาการของโรคไทฟอยด์เป็นอย่างไร?

เมื่อได้รับเชื้อโรคเข้าสู่ร่างกายประมาณ 1-2 สัปดาห์ ผู้ป่วยจะเริ่มมีอาการไข้สูงขึ้นเรื่อยๆ ทุกวันเหมือนลักษณะขั้นบันได ไข้สูงได้ถึง 39-40 องศาเซลเซียส ร่วมกับปวดศีรษะ ปวดท้อง เบื่ออาหาร อาจมีท้องผูกหรือท้องเสียก็ได้ เป็นประมาณ 7 วัน ต่อมาจึงมีอาการถ่ายเหลวมีมูกเลือดปน อาจมีผื่นแดงที่หน้าท้องหรือหน้าอก เชื้อโรคจะเข้าสู่กระแสเลือดได้บ่อย หากไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้องอาจมีไข้ ยาวนานถึงเป็นเดือนๆได้ และอาจมีอาการแทรกซ้อนต่าง ๆ เช่น เลือดออกในทางเดินอาหาร ลำไส้ทะลุและภาวะแทรกซ้อนทางระบบประสาท หากไม่มีภาวะแทรกซ้อน ไข้จะเริ่มลดลงและหายไปภายในระยะเวลาประมาณ 1 เดือน จากนั้นอาการโดยทั่วไปจะดีขึ้น แต่ผู้ป่วยอาจจะมีอาการเหนื่อยอ่อนเพลียเรื้อรังอยู่อีกหลายเดือนได้

หากลูกมีอาการท้องเสียสงสัยการติดเชื้อโรคไทฟอยด์ควรทำอย่างไร?

หากลูกมีอาการท้องเสียยืดเยื้อเป็นสัปดาห์ อุจจาระมีมูกเลือดปน มีไข้สูง ซึมลง ควรพบแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุ และให้การรักษาที่ถูกต้อง โดยต้องทำการตรวจอุจจาระ ทำการเพาะเชื้อในอุจจาระและเลือด จึงจะทราบว่าเกิดจากการติดเชื้อชนิดใด แต่หากลูกมีท้องเสียไม่รุนแรง ไม่มีไข้ หรือมีไข้ต่ำๆ ทานได้ ไม่ซึม คุณพ่อคุณแม่อาจให้จิบน้ำเกลือแร่ เช็ดตัว หรือทานยาลดไข้ และสังเกตอาการก่อนได้

ไม่ควรทานยาที่ออกฤทธิ์ทำให้หยุดถ่าย เพราะจะทำให้มีเชื้อโรคหลงเหลืออยู่ในลำไส้ไม่สามารถขับออกจากร่างกายได้ ส่งผลให้อาการแย่ลงและเกิดภาวะแทรกซ้อน เป็นอันตรายอย่างมากนะคะ

Loading...
You got lucky! We have no ad to show to you!
ติดต่อโฆษณา

เราจะป้องกันการติดเชื้อโรคไทฟอยด์ได้อย่างไร?

โรคไทฟอยด์ในเด็กสามารถป้องกันได้โดยสอนลูกให้รู้จักการรักษาสุขอนามัย เช่น ล้างมือให้สะอาดก่อนทานอาหารและหลังเข้าห้องน้ำ ขับถ่ายลงในส้วมที่ถูกสุขลักษณะ ทานอาหารที่ผ่านการปรุงสุกใหม่ ดื่มน้ำสะอาด ใช้ช้อนกลางเมื่อทานอาหารร่วมกับผู้อื่น
ปัจจุบันมีวัคซีนป้องกันโรคไทฟอยด์ ป้องกันได้เฉพาะเชื้อ Salmonella typhi แต่ไม่แนะนำให้ใช้วัคซีนนี้ในประเทศไทยแล้ว

เนื่องจากปัจจุบันพบโรคไทฟอยด์ในประเทศไทยน้อยมากๆเนื่องจากสุขอนามัยที่ดีขึ้น จึงแนะนำให้รับวัคซีนป้องกันโรคเฉพาะ นักท่องเที่ยวที่จะเดินทางเข้าไปในพื้นที่ที่มีโอกาสสัมผัสเชื้อสูง เช่น อินเดีย บุคลากรที่ทำงานในห้องปฏิบัติการเกี่ยวกับเชื้อโรคนี้โดยตรงและบุคคลที่อาศัยอยู่ในบ้านเดียวกันกับผู้ที่เป็นพาหะของเชื้อเท่านั้น

สำหรับข่าวการระบาดในครั้งนี้ สรุปว่าเกิดจากการติดเชื้อในกลุ่ม Salmonella ที่ไม่ใช่ไทฟอยด์ วัคซีนจึงไม่มีประโยชน์ในการป้องกันค่ะ

Loading...
You got lucky! We have no ad to show to you!
ติดต่อโฆษณา

บทความที่น่าสนใจอื่นๆ

ทุกเรื่องที่พ่อแม่ควรรู้ เมื่อลูกท้องเสีย

5 โรคติดต่อควรเฝ้าระวังในปี 2559