รอข่าวดี! เตรียมเสนอ สิทธิแม่ลาคลอด 6 เดือน หรือ 180 วัน คาดปีหน้าได้ใช้

อดใจไม่ไหว อยากให้ประกาศใช้เร็ว ๆ สิทธิแม่ลาคลอด 6 เดือน หรือ 180 วัน

Loading...
You got lucky! We have no ad to show to you!
ติดต่อโฆษณา

รอข่าวดี! สิทธิแม่ลาคลอด 6 เดือน

พล.ร.อ.ณรงค์ พิพัฒนาศัย รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (คสช.) ครั้งที่ 5/2560 ณ ทำเนียบรัฐบาล ได้กล่าวถึงสิทธิลาคลอด หลังมีการหารือกับภาคส่วนต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องในประเด็นการขยายสิทธิการลาคลอดเป็น 180 วัน หรือ 6 เดือน ว่า การลาคลอดนั้น เราส่งเสริมคุณแม่ควรจะให้นมลูกอย่างน้อยเป็นเวลา 6 เดือน แล้วหลังจากนั้นอาจจะมีอาหารเข้ามาเสริมได้บ้าง แต่ที่ผ่านมา เรามีกฎหมายอนุญาตให้ทั้งหน่วยงานภาครัฐ และเอกชน อนุญาตให้คุณแม่ลาคลอดได้จำนวน 90 วัน ดังนั้น รัฐควรออกกฎหมาย โดยอาจอนุญาตให้ สิทธิแม่ลาคลอด 6 เดือน ซึ่งคุณแม่สามารถลาคลอดได้ 180 วัน หรือ 6 เดือน ซึ่งขณะนี้ยังอยู่ระหว่างดำเนินการ โดยจะมีการรับฟังความคิดเห็นในช่วงเดือน ตุลาคมนี้ คาดว่าจะออกประกาศได้ภายในเดือน มี.ค. 2561

สิทธิลาคลอด และการรักษาสมดุลระหว่างงานและลูก

เป็นที่ถกเถียงกันอย่างต่อเนื่องนะคะ กับการใช้สิทธิลาคลอด ทั้งประเทศในแถบอเมริกาและยุโรปเอง เนื่องจากมีหลายงานวิจัยที่บอกว่าการที่พ่อหรือแม่หรือทั้งคู่ มีเวลาเลี้ยงลูกเต็มเวลานานเท่าใด เด็กๆ จะยิ่งประสบความเร็จเร็วเท่านั้น แต่ในทางปฏิบัติมันไม่ได้สวยหรูแบบนั้นเสมอไปค่ะ เนื่องจากสวัสดิการลาคลอดนั้นมีนายจ้างเพียงไม่กี่ราย ที่ตกลงยอมทำตามกฎกติกาที่สามารถให้ลูกจ้างลาคลอดได้เต็มที่ คุณแม่ส่วนใหญ่ยังต้องกลับมาทำงานเร็วกว่าเดิมแทบทั้งนั้นค่ะ

สวัสดิการอุดมคติมีแค่ในทฤษฎี

เนื่องจากกรณีที่นายจ้างไม่ได้ให้ความเป็นธรรมแก่บรรดาคุณแม่ที่เป็นลูกจ้าง ที่ประเทศอเมริกาจึงมีการฟ้องร้องกันเกิดขึ้น ซึ่งเป็นสาเหตุทำให้บรรดาบริษัทหรือนายจ้างต่างๆ มองว่าเป็นสวัสดิการที่แพงเกินไป จึงทำให้บริษัทและนายจ้างเหล่านี้เลือกที่จะจ้างผู้หญิงซึ่งไม่อยู่ในช่วงอายุที่จะมีลูกอ่อนแทน ซึ่งเป็นที่น่าเสียดายแรงงานดีๆ ที่ถูกตัดทิ้งไป เนื่องจากมีงานวิจัยจากมหาวิทยาลัย Rutgers เปิดเผยข้อมูลว่า หลังจากที่ผู้หญิงลาคลอดไปก็สามารถกลับมาทำงานได้ปกติ และเป็นค่าใช้จ่ายที่ถูกกว่าการที่บริษัทจะจ้างคนใหม่ และเสียเวลาไปกับการสอนงานใหม่อีก

สร้างสมดุลระหว่างงานและลูก

เมื่อคุณพ่อคุณแม่ยุคนี้ก้าวเข้าสู่ยุคดิจิตอลเต็มตัว จึงมีทางเลือกที่หลากหลายมากขึ้น ในการบริหารจัดการการทำงานและครอบครัว เพื่อสร้างสมดุลระหว่างเรื่องงานและลูกนั่นเองค่ะ

  1. เพิ่มความยืดหยุ่น

ผลวิจัยที่เก็บข้อมูลในปี 2008-2014 เผยว่าลูกจ้างจะทำงานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เมื่อมีอิสระและการยืดหยุ่นในเรื่องของเวลาและสถานที่ทำงาน จาก 50% เป็น 67% ควบคุมผลงานได้ดีขึ้นจาก 84% เป็น 92% ไม่ต้องทำงานล่วงเวลาจาก 27% เป็น 45% และไม่ต้องลาหยุดจาก 73% เป็น 82%

  1. องค์กรเล็กๆ

มีความยืดหยุ่นมากกว่าองค์ใหญ่ๆ ในเรื่องของการเข้างานและลางานเมื่อเทียบกับองค์กรใหญ่ 33% ต่อ 20% การทำงานโดยไม่ต้องเข้าออฟฟิศหรือทำงานที่ไหนก็ได้ 11% ต่อ 4% การลาไปทำธุระโดยที่ไม่หักเงินเดือน 52% ต่อ 36% ซึ่งจำนวนคนเก่งๆ ก็มีแนวโน้มที่จะเลือกทำงานกับองค์กรเล็กๆ มากกว่าองค์กรใหญ่ๆ ด้วยข้อดีเหล่านี้

Loading...
You got lucky! We have no ad to show to you!
ติดต่อโฆษณา
 
  1. เหตุจำเป็นที่ถูกมองข้าม

ไม่มีใครอยากให้คนในครอบครัวป่วย แต่มันไม่สิ่งที่สามารถเลือกได้ ลูกจ้างจำนวนไม่น้อยที่มีเหตุจำเป็นเหล่านี้ ซึ่งต้องยอมลางานโดยที่โดนหักเงินเดือนเป็นจำนวนถึง 58% ด้วยกัน โดยที่จำนวนเพียง 9% เท่านั้นที่มีการจ่ายเงินเดือนให้ในช่วงที่ลาเพราะมีเหตุจำเป็น จึงทำให้มีลูกจ้างจำนวนไม่น้อยที่เลือกจะหางานใหม่ที่มีความยืดหยุ่นมากว่า

ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยนะคะ กับการเลี้ยงลูกและทำงานไปพร้อมๆ กัน ในเมื่อสังคมเข้าสู่ยุคอุตสาหกรรมที่เต็มรูปแบบ แต่ก็ใช่ว่าจะหมดหวังไปเสียทีเดียวค่ะ คุณแม่ที่มีลูกเล็กยังมีทางเลือกในการหานายจ้างที่มีสถานรับเลี้ยงเด็กในที่ทำงาน บางองค์กรมีห้องให้ปั๊มนม มีตู้แช่ให้ หรือบางองค์กรส่วนใหญ่ที่เกิดขึ้นมากมายในตอนนี้ ต่างก็บริหารงานภายใต้คนยุคใหม่ ที่มีลักษณะการทำงานแบบเดียวกันกับเรา ความยืดหยุ่นในการทำงานจึงไม่ใช่เรื่องที่เป็นอุดมคติเท่านั้นแล้วละค่ะ

 

Loading...
You got lucky! We have no ad to show to you!
ติดต่อโฆษณา

ที่มา : https://www.khaosod.co.th

บทความอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

สวัสดิการลาคลอดสุดเริ่ดของประเทศต่าง ๆ

แจ้งสิทธิ์! คุณพ่อข้าราชการลาคลอดช่วยแม่เลี้ยงลูกได้ 15 วัน

สิทธิลาคลอดและการรักษาสมดุลระหว่างงานและลูก

 

Loading...
You got lucky! We have no ad to show to you!
ติดต่อโฆษณา

บทความโดย

theAsianparent Editorial Team