พ่อแม่หลาย ๆ คนคงจะอยากให้ลูกเป็น แต่ ลูกมีแววเป็น เด็กเก่ง หรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลาย ๆ อย่าง หนึ่งในนั้นคือ พ่อกับแม่ ถ้าพ่อลูกคอยแอบดูการเล่น หรือพฤติกรรมของน้องก็สามารถพอเดาได้ว่า เป็น เด็กเก่ง ความสนใจด้านใด คราวนี้ก็ถึงคราวที่พ่อแม่ต้องผลักดันให้น้องฉายแววเก่งออกมา
ลักษณะของเด็กเก่ง
นพ. อุดม เพชรสังหาร ผู้อำนวยการศูนย์พัฒนาอัจฉริยภาพเด็กและเยาวชน สถาบันครอบครัวรักลูกบอกว่า เด็กไทยจำนวนไม่น้อยที่ฉายแววความเก่งของตัวเองออกมาในด้านต่าง ๆ ซึ่งพ่อแม่ต้องคอยสังเกตพฤติกรรมของลูก ๆ ว่าพวกเขามีลักษณะตามคุณสมบัติของ เด็กเก่ง บ้างหรือป่าว ซึ่งมีคุณสมบัติดังนี้
- วิ่งเล่นตลอดเวลา มีพลังงานเยอะ
- อยากรู้อยากเห็น
- ชอบถามโน่นถามนี่
- มีสมาธิที่นิ่งกว่าเด็กวัยเดียวกัน
- มีความสามารถในการคิดแก้ปัญหา
- มีจินตนาการที่ชัดเจน
- มีความจำที่ดี
- ชอบเล่นกับเด็กที่โตกว่า
ปั้นเด็กเก่งให้กลายเป็นอัจริยะ
เมื่อลูกได้ฉายแววเป็นเด็กเก่งแล้ว พ่อแม่ควรให้การสนับสนุน เพื่อพลักดัน หรือกระตุ้นให้น้องฉายแววออกมามากที่สุด เพราะไม่แน่ว่าลูกของคุณ อาจจะกลายเป็นเด็กอัจฉริยะก็ได้ โดยพ่อแม่ต้องพยายามจัดกิจกรรม และการเล่นให้เหมาะสมกับน้องในแต่ล่ะช่วงวัย อย่าบังคับ หรือคาดหวังมากเกินไป แต่ต้องคอยให้น้องได้ลองทำในสิ่งต่าง ๆ เพื่อให้เกิดการฝึกฝน และพัฒนาความสามารถพิเศษ จนชำนาญ จะได้มากได้น้อยขึ้นอยู่กับอนาคตว่าจะก้าวไปได้ถึงระดับไหน ที่สำคัญพ่อแม่คือ ต้นทุนที่จะช่วยออกแบบให้ลูกน้อยว่า ต้องการให้เขาเติบโตไปทิศทางใด
เด็กเก่งสร้างได้
ถ้าพ่อแม่อยากให้ลูกเป็นเด็กเก่ง ต้องฝึกการเรียนรู้ในระยะเวลา 3 ปีแรก เนื่องจากเซลล์สมอง จะมีการพัฒนาอย่างรวดเร็ว ตั้งแต่แรกเกิด จนถึงอายุ 3 ขวบ หลังจากนั้นก็จะชะลอลงเรื่อย ๆ จนอายุประมาณ 10 ขวบ ก็ถือว่าเติบโตเต็มที่ ไม่มีการพัฒนาอีก ดังพ่อแม่ที่มีลูกอยู่ในวัย 7 – 9 นี้จะเรียกว่าเป็นโค้งสุดท้ายก็ย่อมได้
โดย พญ.จันท์ฑิตา พฤกษานานนท์ หัวหน้าหน่วยพัฒนาการ และการเจริญเติบโต ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้กล่าวว่า เด็กมีไอคิวสูง หรือต่ำ มีแววเก่งหรือไม่ มีปัจจัยหลักอยู่ 2 ประการ คือทางพันธุกรรม และสภาพแวดล้อมในการเลี้ยงดู ซึ่งผลวิจัยชี้ชัดแล้วว่า การจัดสภาพแวดล้อมให้เหมาะสมกับการเรียนรู้ของแต่ละช่วงวัย สามารถเพิ่มไอคิวของลูกได้ถึง 20 – 30 คะแนน กลับกันถ้าพ่อแม่ฉลาด แต่เด็กอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ไม่ดี สมองของเด็กก็จะไม่มีการพัฒนา และมีผลต่อระดับไอคิวได้เช่นกัน
วิธีเสริมสร้างสมองสำหรับเด็กแรกเกิด
บทความ : วิธีทำให้ลูกฉลาด ตั้งแต่ในครรภ์ จนถึงวัยคลาน ช่วยลูกหัวดีตั้งแต่เด็ก
คุณสามารถช่วยกระตุ้นพัฒนาการทางสมองของลูกน้อยได้ตั้งแต่แรกเกิด สมองของทารกแรกเกิดจะมีขนาดประมาณ 25% ของสมองผู้ใหญ่ และจะเติบโตขึ้นเป็น 75% เมื่ออายุ 2 ขวบ ซึ่งถือเป็นพัฒนาการช่วงสำคัญของสมอง นี่เป็นเหตุผลที่ว่าทำไมการกระตุ้นสมองจึงเป็นเรื่องสำคัญสำหรับเด็กในช่วงขวบวัยนี้
วิธีทำให้ลูกฉลาด
วิธีที่ดีที่สุดคือ การให้ลูกได้ลองทำกิจกรรมหลากหลาย แต่คุณไม่จำเป็นต้องอัดกิจกรรมให้ลูกจนแน่น แค่ให้เขาได้ลองทำอะไรง่าย ๆ พื้น ๆ ที่เหมาะสมกับวัย อาทิ
- โมบายแขวน หรือ การ์ดรูปภาพ
- ดนตรีเบา ๆ ฟังสบาย ๆ
- นมแม่คือแหล่งอาหารที่ดีที่สุดสำหรับทารกซึ่งช่วยในการพัฒนาสมอง มีงานวิจัยหลายชิ้นที่บ่งชี้ว่านมแม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับระดับสติปัญญาของเด็ก
- เข้าไปใกล้ ๆ เวลาพูดคุยกับเขาเพื่อให้เขาเห็นคุณชัดขึ้น
- ทารกมักชอบให้คุณอยู่ใกล้ชิด พยายามกอด หอม สัมผัสเขาบ่อย ๆ หรือแม้แต่การใช้โทนเสียงต่าง ๆ กันเวลาอ่านนิทาน
- จับลูกคว่ำวันละ 2-3 นาที เพื่อให้เขาได้ฝึกทักษะการเคลื่อนไหว ซึ่งมีส่วนช่วยในการพัฒนาสมอง
วิธีเสริมสร้างสมองสำหรับเด็กทารก
เมื่อลูกน้อยเริ่มโตขึ้น คุณสามารถลองให้เขาทำกิจกรรมอื่น ๆ ได้มากขึ้น สมองของทารกจะพัฒนาเมื่อเขาได้เรียนรู้เสียงจากสิ่งของต่าง ๆ เช่นเสียงจากของเล่น หรือช้อนส้อม ฯลฯ การมองลูกบอลกลิ้งและพยายามจะจับลูกบอลก็ช่วยพัฒนาสมองเช่นกัน ลองปรับเปลี่ยนเวลาการเล่นและกิจกรรมต่าง ๆ ตามความเหมาะสม คุณอาจอยากลองกิจกรรมต่าง ๆ เหล่านี้:
- เปิดดนตรีหลาย ๆ ประเภท ไม่ว่าจะเป็นดนตรีคลาสสิกไปจนถึงเพลงร็อค แต่อย่าเปิดเพลงดังเกินไป
- ลองให้ลูกได้สัมผัสพื้นผิว มองสีสัน และฟังเสียงต่าง ๆ พาเขาออกไปเดินเล่นนอกบ้าน เปลี่ยนของเล่น หนังสือ หรือแม้แต่สื่อโสตทัศน์ต่าง ๆ เพื่อให้เขาได้รับประสบการณ์ที่หลากหลาย
- บล็อกตัวต่อเป็นของเล่นที่ช่วยเสริมสร้างพัฒนาการของสมองชั้นเยี่ยม
- การดูแลใกล้ชิดก็มีส่วนสำคัญในการพัฒนาของเด็ก พยายามอยู่ใกล้ชิดกับเขามากที่สุด ร้องเพลง คุยกับเขา กอดเขาบ่อย ๆ
ที่มา :
www.manager.co.th
www.thaihealth.or.th
บทความอื่น ๆ ที่น่าสนใจ :
20 สัญญาณ บ่งบอกว่าลูกคุณคือเด็กอัจฉริยะ
ใช้ทักษะ Executive Functions (EF) สอนลูกให้ฉลาดด้วยการพา ไปเที่ยว