วันเสาร์ที่ 22 สิงหาคม ที่ผ่านมา เรา 3 คนพ่อแม่ลูกไปเที่ยวที่ ตลาดน้ำคลองสวน 100 ปีและวัดสมานฯ ฉะเชิงเทรา พอวันรุ่งขึ้น(วันอาทิตย์ที่ 23 สิงหาคม) น้องโมมีตุ่มเม็ดเล็กๆ เหมือนผื่นคันธรรมดาขึ้นที่ข้อศอกและหัว อาเจียน อาหารไม่ย่อย แต่ไม่มีไข้ เราจึงพาไปคลีนิคหมอบอกเป็นแค่ผื่นคันธรรมดา ได้ยาแก้แพ้ ยาทา และยาลดอาเจียน ยาช่วยย่อย และให้กลับบ้าน
ตกดึก น้องโมเริ่มมีไข้อ่อนๆ พอเช้าวันจันทร์ แม่แมวปลุกลูกอาบน้ำกินข้าวแต่งตัวไปโรงเรียน ก็จับตัวลูกก็ร้อน ๆ มือ และเท้าเริ่มมีตุ่มใส ๆ แดง ๆ ขึ้น 2-4 เม็ด แม่แมวก็เอะใจ จะเป็นมือเท้าปากที่ระบาดในเด็กหรือเปล่า เลยเปลี่ยนใจลางานพาลูกไปโรงพยาบาล
เช้าวันจันทร์ที่ 24 สิงหาคม เราพาลูกไปหาหมอที่โรงพยาบาล หมอที่ตรวจเมื่อเห็นตุ่ม บอกเลยว่าน้องโมเป็นโรคมือเท้าปาก ซึ่งไม่มียารักษา ต้องรักษาตามอาการ เหมือนคนเป็นหวัด มีน้ำมูก ก็กินยาลดน้ำมูก ถ้ามีไข้ก็ต้องกินยาลดไข้ โรคมือเท้าปากโดยปกติปัญหาอยู่ที่ เด็กจะเจ็บปาก เจ็บคอ กินไม่ได้ จะเพลีย และมีไข้สูง ส่วนของน้องโมก็มีปัญหากินไม่ได้ กินแล้วอาเจียน คุณหมอเลยให้แอดมิท ให้น้ำเกลือและยากันอาเจียน น้องโมกินข้าวได้เยอะมากทั้งมื้อเที่ยงและมื้อเย็น ร่าเริงปกติ พูดมากเหมือนเดิม ซึ่งเราคิดว่าลูกใกล้จะหายแล้ว มีแต่ไข้เท่านั้นที่ไม่ยอมลด เราเช็ดตัวลูกทุก 1-2 ชั่่วโมง แต่ไข้ไม่เคยลดต่ำกว่า 38.2 เลย แต่ตอนนั้น แม่แมวก็ไม่ได้กังวลอะไร เพราะโมเค้ากินได้ ร่าเริงปกติ เพียงแต่ต้องคอยเช็ดตัวไม่ให้ไข้สูงมากไปกว่านี้
วันอังคาร ที่ 25 สิงหาคม อาการของน้องโมยังคงเป็นเหมือนวันจันทร์ กินได้เยอะมาก ทั้งข้าว ทั้งขนม ร่าเริงปกติ จนเราวางใจ ช่วงบ่ายแม่แมวจึงขอแฟนไปทำงานครึ่งวัน ปล่อยให้พ่อลูกอยู่ด้วยกัน สองคน แต่เราก็โทรหาทุกชั่วโมง ก็ได้คุย ได้ยินเสียงโมหัวเราะปกติ ตกเย็นเลิกงานเราก็เข้าบ้าน อาบน้ำแล้วก็ไปโรงพยาบาล แต่พอไปถึงเราสังเกตเห็นลูกเริ่มมีอาการฟืดฟาด มีน้ำมูกและเสมหะ เลยบอกพยาบาลให้ตามหมอมาดู หมอเลยสั่งให้ล้างจมูก และดูดเสมหะ ลูกก็หายใจดีขึ้น แล้วก็กลับมานอน เราก็คอยเช็ดตัว คอยดูแลตลอด จนตีสอง ลูกไข้ขึ้น เราก็เช็ดตัวอีกรอบ พยาบาลก็เอายาลดไข้ให้กิน และล้างจมูกให้ แต่ลูกเราไข้สูง เกิดชักกระทันหัน วุ่นวายกันทั้งตึก และก็ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ ส่งเข้า icu เลย ทั้งเจาะเลือด เจาะไขกระดูกสันหลัง เอ็กซเรย์ปอด แล้วหมอก็เรียกแม่แมวกับพ่อโอไปคุยตอนเกือบตีสี่ถึงอาการโดยรวม แบบแบ่งรับแบ่งสู้และให้เราเริ่มทำใจ เพราะเชื้อไวรัสเริ่มไปปอดแล้ว แต่เรากะแฟนก็ยังใจดีอยู่ คิดว่าลูกไม่เป็นไร ลูกเราแข็งแรงดี จึงขอเข้าไปดูลูก ไปคุยกับลูก โมเค้าก็เหมือนรับรู้ เรียกชื่อ เค้าก็พยักหน้ารับรู้ พยายามลืมตามองหน้าเรา เราก็มีกำลังใจขึ้นเยอะ และยังเชื่อว่าลูกต้องดีขึ้น ต้องหาย เรากะแฟนเลยตัดสินใจไปเก็บของออกจากห้องพิเศษกลับบ้านไปนอนพักก่อน แล้วตอนเช้าค่อยเอาตุ๊กตาตัวโปรดและหนังสือนิทานมาเล่าให้ลูกฟังดีกว่า เราเลยพากันกลับบ้านตอนหกโมงกว่า
เช้าวันพุธ ที่ 26 สิงหาคม เราไปนอนพักได้ไม่ถึงชั่วโมง ก็รีบตื่นอาบน้ำเก็บของไปหาลูกที่โรงพยาบาล พอไปถึงหมอก็เรียกคุยถึงอาการน้องโม ว่ามีอาการ ความดันต่ำ และไม่ค่อยสู้ดี ทีมหมอได้ประชุมกันแล้ว เห็นสมควรว่าน้องอาการแย่ลง จึงจะให้ยาฆ่าไวรัสตัวที่ดีที่สุด และแพงที่สุดที่ประเทศเรามี ราคา 110,300 บาทเพื่อจะช่วยชีวิตน้องโม เราก็ยินดีให้หมอช่วย ไม่ว่าจะเสียเท่าไหร่เราก็ยอม แต่สุดท้ายแล้วเราก็ไม่ได้เสียเงิน เพราะทางโรงพยาบาลหาทางช่วยใช้สวัสดิการต่าง ๆ แทน เราถามหมอยาราคาเป็นแสนนี้เคยใช้ได้ผลไหม หมอบอกเคยใช้ได้ แต่สำหรับน้องโมหมอไม่แน่ใจ ต้องคอยดูและภาวนาให้ร่างกายน้องโมตอบรับกับยาตัวนี้ ระหว่างที่ให้ยาเราก็เทียวเข้าเทียวออก ไปคุยกะลูก เล่านิทานให้ลูกฟัง สลับกับคุยกับหมอ เวลาที่เราคุยกะลูก ลูกก็เหมือนรู้สึกตัวดี รับรู้ได้ แต่พอคุยกะหมอ หมอกลับบอกว่า ลูกหายใจได้เพราะเครื่องช่วยหายใจ รับรู้ได้เพราะปฏิกิริยาของยา แต่เราก็ไม่เชื่อว่าหมอพูดจริง เพราะเรายังเชื่อว่าลูกรับรู้ได้ ลูกเราเก่ง ลูกเราสู้ ลูกเราต้องหาย ทั้งที่ก็ร้องไห้ตลอดตั้งแต่เค้าเข้า icu ประมาณบ่ายโมง หมอเรียกเราไปคุยอีก บอกว่าเชื่อมันลามไปสมองแล้วและกำลังไปที่หัวใจ เราขอหมอย้ายจะพาลูกไป รพ เอกชนแต่ด้วยเหตุและผลทางการแพทย์และเรื่องค่าใช้จ่ายแล้ว หมอไม่อยากให้ไป ซึ่งหมอพยายามช่วยและคุยกับหมอโรงพยาบาลเอกชน เพื่อจะส่งตัวน้องโมไปรักษากับทีมหมอที่เก่งที่สุด แต่ยังรอคำตอบอยู่ ว่าเค้าจะรับหรือไม่ ในที่สุดทางโรงพยาบาลเอกชนก็ตอบรับกลับมาตอนบ่ายสาม ให้ส่งตัวน้องโมไป เราก็วุ่นวายทำเรื่องส่งตัวน้องโมกัน จน บ่ายสี่โมงครึ่ง ก็ทำการเคลื่อนย้าย จากห้อง icu ขึ้นรถฉุกเฉินไป รพเอกชน แต่โชคร้าย ระหว่างเคลื่อยย้ายกันนั้น น้องเกิดภาวะแทรกซ้อน ทำให้หัวใจหยุดเต้น ต้องปั๊มหัวใจ ทั้งทีมแพทย์ แพทย์กู้ชีพ พยาบาล ร่วม 20 ชีวิต พยายามช่วยกันช่วยชีวิตน้องโม ร่วมหนึ่งชั่วโมง แต่น้องโมก็ไม่กลับคืนมา เราจึงปล่อยน้องไป
****จะเห็นได้ว่า ตั้งแต่น้องโมป่วย ใช้เวลาแค่ 3 วัน เชื้อไวรัสที่น้องได้รับ ลุกลามไปไวมาก และยิงเข้าสู่จุดสำคัญทั้ง ปอด สมอง และหัวใจ *****
ซึ่งถึงวันนี้ ทีมหมอก็ยังไม่สามารถระบุได้ว่า ไวรัสชนิดไหนที่น้องโมได้รับมา จุดกำเหนิดอยู่ที่ไหน ซึ่งต้องนำเชื้อ เนื้อเยื่อไปเพาะก่อนถึงจะรู้แน่ชัดซึ่งต้องใช้เวลาอย่างไวสุดก็เป็นอาทิตย์ และกรมควบคุมโรคเองก็ต้องหาจุดที่น้องได้รับเชื้อเพื่อหาทางแก้ไข ป้องกัน ไม่ให้ระบาด ดังนั้น จึงอยากให้เพื่อนๆ ที่มีลูกเล็ก หรือวัยประถม ให้ระมัดระวังและคอยสังเกตอาการลูกน้อยให้ดี เมื่อเห็นความผิดปกติอย่านิ่งนอนใจ รีบพาไปหาหมอให้เร็วที่สุด ทุกครั้งที่ไปเที่ยว ไปแหล่งชุมชน คนพลุกพล่าน ควรล้างมือให้บ่อยครั้งเท่าที่จะทำได้ พกแอลกอฮอล์ล้างมือด้วยยิ่งดี ล้าง เช็ดบ่อยๆ เพราะเชื้อมือเท้าปาก มีทั่วไป เด็กๆ จะรับมาได้ง่ายมาก ถ้ารับเชื้อที่ไม่รุนแรง ก็จะหายเองภายใน 2-3 วัน แต่ถ้าได้รับชนิดรุนแรงอย่างน้องโมละก็กลัวจะรักษาไม่ทันการณ์ ทางที่ดี ถ้าป้องกันได้ก็อยากให้ป้องกันให้ดีไว้ก่อนดีกว่าค่ะ
ที่มา:facebook.com/ssittika.s
ลูกฉันน้ำหนักแรกคลอดเพียง 810 กรัม แต่เราแม่ลูกก็สู้จนผ่านมันมาได้
ยา 10 ชนิดที่เป็นอันตรายต่อลูกน้อย