มะเร็ง ภัยร้ายที่มากับ เนื้อ นม ไข่ ความจริงที่แม่ไม่เคยรู้!!

แม่ๆ รู้หรือไม่ ว่าอะไรคือสาเหตุการเสียชีวิตอันดับ 1 ของคนไทย หลายคนอาจคาดเดาว่าเป็นอุบัติเหตุ แต่จริงๆ แล้ว มะเร็ง คือโรคร้ายที่ค่อยๆ ย่างกรายเข้ามาพรากลมหายใจของคนที่เรารักไปในทุกๆ 8 นาที!!

Loading...
You got lucky! We have no ad to show to you!
ติดต่อโฆษณา

มะเร็ง ไม่ได้เป็นเพียงภัยเงียบที่ครองแชมป์คร่าชีวิตคนไทยติดต่อกันมาหลายปีเท่านั้น จากผลสำรวจขององค์การอนามัยโลกยังพบว่า ในปี พ.ศ. 2551 มีผู้เสียชีวิตจากโรคมะเร็งราว 7.6 ล้านคน หรือคิดเป็น 13% ของสาเหตุการเสียชีวิตของประชากรทั่วโลก ซึ่งมากกว่าจำนวนของผู้เสียชีวิตจาก โรคเอดส์ วัณโรค และมาลาเรีย รวมกันเสียอีก

นอกจากนี้ ในปี ค.ศ. 2030 ยังมีแนวโน้มว่าผู้ป่วยด้วยโรค มะเร็ง เพิ่มขึ้นเป็น 21.4 ล้านคน และคาดการณ์ว่าจะมีผู้เสียชีวิตด้วยโรคร้ายนี้ถึง 13 ล้านคน โดยผู้เสียชีวิตราว 70% อยู่ในประเทศกำลังพัฒนาและด้อยพัฒนา

มะเร็งร้าย เกิดจากพฤติกรรมการกิน จริงหรือ?

มีคำกล่าวว่า ปัจจัยของการเกิดโรคในปัจจุบัน หลายครั้งเกิดจากการ “ตามใจปาก” แม้ปัจจุบันคนเราจะมีวิทยาการทางการแพทย์ก้าวล้ำมากขึ้น แต่แนวโน้มของการเกิดโรคมะเร็งกลับพุ่งสูงขึ้นจนน่าตกใจ ผู้เชี่ยวชาญด้านอาหาร โภชนาการ และมะเร็งทั่วโลก ได้สรุปปัจจัยด้านอาหารที่มีผลต่อการเกิด มะเร็ง จากรายงานการวิจัยกว่า 7,000 เรื่อง ที่ทำการศึกษาวิจัยบทบาทความสัมพันธ์ของอาหาร การออกกำลังกาย ภาวะน้ำหนักเกิน และความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็ง ไว้ว่า การบริโภคอาหารบางชนิดในปริมาณมากและต่อเนื่องกันเป็นเวลานาน เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งต่างๆ

อันตรายที่แฝงมากับ โปรตีนสัตว์ ความจริงที่แม่ไม่เคยรู้

ก่อนอื่นต้องยอมรับว่า การบริโภคเนื้อสัตว์ นม หรือไข่ เราไม่ได้กินเข้าไปแค่โปรตีนจากอาหารเท่านั้น แต่เรายังรับเอาฮอร์โมนต่างๆ ที่ถูกหลั่งออกมาขณะที่สัตว์ทั้งหลายกำลังรู้ตัวว่ากำลังจะถูกทำร้าย รวมถึงสารต่างๆ ที่ถูกฉีดเพื่อเร่งการเจริญเติบโต ซึงฮอร์โมนเหล่านี้เป็นที่ยอมรับกันว่าเป็น “สารก่อมะเร็ง”

โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์จำพวกโปรตีนที่ผ่านการแปรรูปอย่าง ไส้กรอก แฮม เบคอน ที่ผ่านกระบวนการ หมัก ปรุงแต่ง รมควัน เติมสารกันเสีย และเจือสี มีผลการวิจัยของไอเออาร์ซี ที่วิเคราะห์ผลการศึกษาราว 800 ชิ้น จัดให้ผลิตภัณฑ์เนื้อสัตว์แปรรูปมีความเชื่อมโยงกับการเกิด มะเร็ง ในกลุ่มเดียวกับยาสูบ และแร่ใยหิน!!! ส่วนอาหารจำพวกเนื้อแดง เนื้อวัว เนื้อแกะ เนื้อหมู (ยกเว้นไก่และปลา) เป็นกลุ่มของสารอาหารที่ก่อให้เกิดมะเร็งร่วมกับสารไกลโฟเสต ซึ่งมีอยู่ในยาฆ่าแมลง!!

นอกจากนี้การกินอาหารจำพวกนม ชีส หรือเนย ยังเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคมะเร็งหลายรูปแบบ โดยเน้นหนักไปทางมะเร็งที่มีความเกี่ยวพันกับฮอร์โมนในร่างกาย จากสถิติในเว็บไซต์ NutritionFact.org ของ Dr.Michael Greger, M.D. Physician พบว่า ผู้ชายที่ดื่มนมวัวเป็นประจำ มีความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งต่อมลูกหมากสูงถึง 34% ในขณะที่เด็กๆ ซึ่งดื่มนมวัวตั้งแต่เป็นทารก มีโอกาสเสี่ยงต่อโรคภูมิแพ้และหอบหืดสูง แถมยังถูกเร่งให้เจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว ซึ่งมีความสัมพันธ์ต่อการเป็นโรคมะเร็งเมื่อมีอายุมากขึ้นอีกด้วย

Loading...
You got lucky! We have no ad to show to you!
ติดต่อโฆษณา

โปรตีนพืช ทางเลือกที่ดีกว่า เพื่อสุขภาพที่แข็งแรงอย่างยั่งยืนของลูกรัก

น้อยคนนักจะทราบว่าพืชผักใบเขียว ตลอดจนธัญพืชต่างๆ ก็มี “โปรตีน” ที่มีคุณประโยชน์ไม่น้อยหน้าโปรตีนจากสัตว์ แถมยังอุดมด้วยกรดอะมิโนจำเป็น สารออกซิแดนท์ต่ำ มีกากใยอาหารสูง และคอเลสเตอรอลต่ำ โปรตีนพืชชั้นยอดก็มีให้เลือกมากมาย ไม่ว่าจะเป็น ข้าวควินัว สุดยอดอาหารของชาวอินคาโบราณ ที่มีโปรตีนธรรมชาติสูงเทียบเท่าน้ำนมแม่ มีโฟเลตสูงช่วยในการบำรุงสมอง ย่อยง่าย และปราศจากกลูเต็น ผลิตภัณฑ์ต่างๆ จากถั่วเหลือง ก็ให้โปรตีนสูงไม่แพ้นมวัวหรือเนื้อสัตว์ ส่วนอัลมอนด์ ก็อุดมด้วยวิตามิน อี ไฟเบอร์ และกรดไขมันไม่อิ่มตัว

 

Loading...
You got lucky! We have no ad to show to you!
ติดต่อโฆษณา

มีหลักฐานงานวิจัยมากมายสรุปตรงกันว่า กลุ่มผู้บริโภคอาหารเน้นพืช (Plant Based Whole Food : PBWF) ทานผัก ผลไม้ และธัญพืช ที่ไม่ผ่านการปรุงแต่งใดๆ ไม่สกัด ไม่ขัดสี ต่อเนื่องกันเป็นประจำ มีความเสี่ยงต่อโรคมะเร็งต่ำกว่าผู้ที่บริโภคเนื้อแดง หรือโปรตีนจากสัตว์เป็นเวลานาน ด้วยเหตุนี้เอง การบริโภคอาหารที่ทำมาจากพืช ซึ่งเป็นสารอาหารบริสุทธิ์ที่ธรรมชาติสร้างขึ้น จึงได้รับการยอมรับว่า เป็นการดูแลสุขภาพที่ถูกต้อง ทั้งนี้การเริ่มต้นที่ดีตั้งแต่วัยเด็ก ยังเป็นการเปิดโอกาสให้ลูกรักมีสุขภาพที่แข็งแรง มีภูมิคุ้มกันสูง ห่างไกลจากโรคร้าย โดยเฉพาะโรคมะเร็งอีกด้วย

 

สนใจรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับโภชนาการอาหาร คลิกเลย : https://startright.info

 

Loading...
You got lucky! We have no ad to show to you!
ติดต่อโฆษณา

บทความโดย

theAsianparent Editorial Team