เลี้ยงลูกทันสมัยไป สมองลูกอาจไม่พัฒนา

แม้จะเป็นคุณพ่อคุณเเม่ที่ทันสมัย เเต่การเลี้ยงลูกก็ยังต้องคำนึงถึงสิ่งที่ดีที่สุดต่อลูกอยู่ดี เเม้ว่าเราจะเป็นพ่อแม่ในยุคดิจิตอลก็ตาม เเละหลายสิ่งหลายอย่างก็ใช้เรื่องพวกนี้เเทนไม่ได้นะคะ ยิ่งเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนอย่างความรู้สึกหรือความต้องการของลูกเเล้วละก็

Loading...
You got lucky! We have no ad to show to you!
ติดต่อโฆษณา

ผู้เชี่ยวชาญด้านสังคมและวัฒนธรรมเชื่อว่า การเลี้ยงลูกแบบทันสมัยมากเกินไป จะเป็นการขัดขวางพัฒนาการด้านอารมณ์ และการทำงานของสมอง อ้างอิงจากงานวิจัยจากการประชุมสัมมนาที่จัดขึ้นที่มหาวิทยาลัยน็อทร์ดาม

ดาร์ซี นาร์วาซ ศาสจตราจารย์ด้านจิตวิทยา ผู้เชี่ยวชาญด้านพัฒนาการทางศีลธรรมของเยาวชน ได้ให้ความเห็นว่า

“ชาวอเมริกันมีคุณภาพชีวิตที่แย่ลงมากเมื่อเทียบกับ 50 ปีที่แล้ว การให้เด็กทารกกินนมผง แยกเด็กๆ ให้อยู่ในห้องของตัวเองคนเดียว และความเชื่อที่ว่าอย่าตอบสนองต่อเสียงร้องของลูกเร็วเกินไป เพราะเป็นการตามใจเด็กๆ จนเคยตัว กลายเป็นค่านิยมที่ทำตามกันและเป็นเรื่องปกติของพ่อแม่สมัยนี้

ทั้งที่การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ การตอบสนองต่อเสียงร้องของลูก การมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างพ่อแม่ลูก อย่างการกอด หอม และช่วงเวลาที่แม่สบตาตอนลูกดูดนม แม้กระทั่งการที่ให้ปู่ย่าตายายมีส่วนร่วมในการดูแลอบรมสั่งสอน สิ่งเหล่านี้ต่างก็เป็นผลดีต่อพัฒนาการของสมอง อีกทั้งยังช่วยในการหล่อหลอมบุคลิกภาพ ช่วยให้เด็กๆ ได้มีพัฒนาการในเรื่องของสุขภาพจิตและศีลธรรมดียิ่งขึ้นด้วย”

เนื่องจากผลวิจัยบ่งบอกว่าการมีอารมณ์ที่ดีนั้นมาจากสุขภาพจิตใจที่มั่นคงจากวัยเด็ก

  1. การตอบสนองต่อเสียงร้องของลูก โดยไม่ปล่อยให้ลูกร้องจนเลิกร้องไปเองนั้น จะทำให้เด็กเกิดพัฒนาการด้านการตระหนักรู้ ว่าสิ่งที่ตัวเองต้องการคือเรื่องอะไร และเรียนรู้จากการตอบสนองของพ่อแม่ เพื่อพัฒนาเป็นการตอบสนองของตัวเองเมื่อโตขึ้น
  2. การสัมผัสอย่างเบามือและนุ่มนวลของพ่อแม่ จะช่วยลดความเครียดของลูกที่อาจเกิดขึ้นได้ เมื่อเกิดเหตุการณ์ที่แม้แต่ตัวเด็กๆ เองก็ยังไม่เข้าใจ เป็นการควบคุมสิ่งเร้าต่างๆ และเป็นการแสดงถึงความเห็นอกเห็นใจของพ่อแม่ ที่มีต่อลูก ซึ่งเด็กๆ จะเรียนรู้ทั้งทักษะ จุดประสงค์ และผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น
  3. การปล่อยให้ลูกเล่นอย่างอิสระท่ามกลางธรรมชาติ จะช่วยในเรื่องของการปรับตัวให้เข้ากับสังคม นอกจากนี้ธรรมชาติยังช่วยลดความเกรี้ยวกราดของเด็กๆ ให้ลดน้อยลง ทำให้มีการแสดงออกที่ดีขึ้น
  4. การมีส่วนร่วมจากคุณปู่คุณย่าคุณตาคุณยาย จะช่วยในเรื่องของการพัฒนาไอคิวและความยืดหยุ่นในการตามใจตัวเองหรือถือตัวเองเป็นสำคัญ (ego) เนื่องจากเป็นการจำลองการอยู่ร่วมกันในสังคม ซึ่งมีสมาชิกมากกว่าตัวเด็กและคุณแม่

จึงเกิดคำถามที่ทำให้เราต้องมาพิจารณาและวิเคราะห์กันว่า การเลี้ยงลูกแบบที่ทำกันแพร่หลายอย่างทุกวันนี้ มาตรฐานอยู่ที่ไหนกันแน่?

Loading...
You got lucky! We have no ad to show to you!
ติดต่อโฆษณา

 

 

Loading...
You got lucky! We have no ad to show to you!
ติดต่อโฆษณา

 

นอกจากนี้การดูแลเด็กเล็กของชาวอเมริกันมีแนวโน้มที่จะแย่ลงเรื่อยๆ เพราะพ่อแม่อุ้มลูกน้อยลง เด็กๆ ใช้เวลาตัวช่วยของพ่อแม่ เช่น คาร์ซีท รถเข็น ที่นั่งโยกได้ มากกว่าสมัยก่อนเป็นจำนวนที่สูงขึ้นเรื่อย และมีแม่จำนวนเพียง 15% ที่ให้นมลูกถึง 1 ปีเต็ม ปัญหาที่ตามมาจากการเลี้ยงลูกแบบนี้นั้นทำให้มีเปอร์เซ็นต์ของโรคซึมเศร้าและการเกิดความวิตกกังวลเพิ่มมากขึ้น ทุกกลุ่มอายุรวมทั้งในเด็กเล็กไปจนถึงนักศึกษาระดับปริญญา ซึ่งการแสดงออกที่ก้าวร้าวในเด็กเล็กมีเพิ่มขึ้นในขณะที่ความมีเมตตาเห็นอกเห็นใจผู้อื่นนั้นลดน้อยลง

ศาสตราจารย์ ดาร์ซี ยังกล่าวอีกด้วยว่า “สมองซีกขวา ที่ทำงานควบคุมการบังคับและกำกับตัวเอง เป็นสมองที่ใช้เพื่อความคิดสร้างสรรค์ ความเห็นอกเห็นใจมีเมตตา โดยที่ทักษะเหล่านี้จะมีการพัฒนาเหมือนกับการเล่นมวยปล้ำหรือการเต้นรำหรือการสร้างงานศิลปะ ดังนั้นพ่อแม่จำเป็นต้องใช้เวลาร่วมกับลูก ทำกิจกรรมที่สร้างสรรค์ร่วมกัน“

Loading...
You got lucky! We have no ad to show to you!
ติดต่อโฆษณา

แม้ว่าจะมีกระแสการเลี้ยงลูกแบบไหน หรือเรื่องอะไรที่พ่อแม่ส่วนใหญ่ทำให้เห็นในสังคม คุณพ่อคุณแม่คือคนเดียวที่รู้จักลูกตัวเองดีที่สุด ดังนั้นการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการเลี้ยงลูกของตัวเองไปในทิศทางแบบไหนก็ตาม สิ่งสำคัญที่สุดคือการสังเกตว่าลูกมีการตอบสนองต่อวิธีนั้นอย่างไรบ้างคะ

 

บทความอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง

6 วิธีเลี้ยงลูกด้วยการคิดบวกช่วยพ่อแม่รู้จัก “อดทน” มากขึ้น

เลี้ยงลูกให้เป็นคนปกติอย่างไรและเข้าใจลูกมากขึ้นภายใน 16 นาที