ผู้เชี่ยวชาญด้านสังคมและวัฒนธรรมเชื่อว่า การเลี้ยงลูกแบบทันสมัยมากเกินไป จะเป็นการขัดขวางพัฒนาการด้านอารมณ์ และการทำงานของสมอง อ้างอิงจากงานวิจัยจากการประชุมสัมมนาที่จัดขึ้นที่มหาวิทยาลัยน็อทร์ดาม
ดาร์ซี นาร์วาซ ศาสจตราจารย์ด้านจิตวิทยา ผู้เชี่ยวชาญด้านพัฒนาการทางศีลธรรมของเยาวชน ได้ให้ความเห็นว่า
“ชาวอเมริกันมีคุณภาพชีวิตที่แย่ลงมากเมื่อเทียบกับ 50 ปีที่แล้ว การให้เด็กทารกกินนมผง แยกเด็กๆ ให้อยู่ในห้องของตัวเองคนเดียว และความเชื่อที่ว่าอย่าตอบสนองต่อเสียงร้องของลูกเร็วเกินไป เพราะเป็นการตามใจเด็กๆ จนเคยตัว กลายเป็นค่านิยมที่ทำตามกันและเป็นเรื่องปกติของพ่อแม่สมัยนี้
ทั้งที่การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ การตอบสนองต่อเสียงร้องของลูก การมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างพ่อแม่ลูก อย่างการกอด หอม และช่วงเวลาที่แม่สบตาตอนลูกดูดนม แม้กระทั่งการที่ให้ปู่ย่าตายายมีส่วนร่วมในการดูแลอบรมสั่งสอน สิ่งเหล่านี้ต่างก็เป็นผลดีต่อพัฒนาการของสมอง อีกทั้งยังช่วยในการหล่อหลอมบุคลิกภาพ ช่วยให้เด็กๆ ได้มีพัฒนาการในเรื่องของสุขภาพจิตและศีลธรรมดียิ่งขึ้นด้วย”
เนื่องจากผลวิจัยบ่งบอกว่าการมีอารมณ์ที่ดีนั้นมาจากสุขภาพจิตใจที่มั่นคงจากวัยเด็ก
- การตอบสนองต่อเสียงร้องของลูก โดยไม่ปล่อยให้ลูกร้องจนเลิกร้องไปเองนั้น จะทำให้เด็กเกิดพัฒนาการด้านการตระหนักรู้ ว่าสิ่งที่ตัวเองต้องการคือเรื่องอะไร และเรียนรู้จากการตอบสนองของพ่อแม่ เพื่อพัฒนาเป็นการตอบสนองของตัวเองเมื่อโตขึ้น
- การสัมผัสอย่างเบามือและนุ่มนวลของพ่อแม่ จะช่วยลดความเครียดของลูกที่อาจเกิดขึ้นได้ เมื่อเกิดเหตุการณ์ที่แม้แต่ตัวเด็กๆ เองก็ยังไม่เข้าใจ เป็นการควบคุมสิ่งเร้าต่างๆ และเป็นการแสดงถึงความเห็นอกเห็นใจของพ่อแม่ ที่มีต่อลูก ซึ่งเด็กๆ จะเรียนรู้ทั้งทักษะ จุดประสงค์ และผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น
- การปล่อยให้ลูกเล่นอย่างอิสระท่ามกลางธรรมชาติ จะช่วยในเรื่องของการปรับตัวให้เข้ากับสังคม นอกจากนี้ธรรมชาติยังช่วยลดความเกรี้ยวกราดของเด็กๆ ให้ลดน้อยลง ทำให้มีการแสดงออกที่ดีขึ้น
- การมีส่วนร่วมจากคุณปู่คุณย่าคุณตาคุณยาย จะช่วยในเรื่องของการพัฒนาไอคิวและความยืดหยุ่นในการตามใจตัวเองหรือถือตัวเองเป็นสำคัญ (ego) เนื่องจากเป็นการจำลองการอยู่ร่วมกันในสังคม ซึ่งมีสมาชิกมากกว่าตัวเด็กและคุณแม่
จึงเกิดคำถามที่ทำให้เราต้องมาพิจารณาและวิเคราะห์กันว่า การเลี้ยงลูกแบบที่ทำกันแพร่หลายอย่างทุกวันนี้ มาตรฐานอยู่ที่ไหนกันแน่?
นอกจากนี้การดูแลเด็กเล็กของชาวอเมริกันมีแนวโน้มที่จะแย่ลงเรื่อยๆ เพราะพ่อแม่อุ้มลูกน้อยลง เด็กๆ ใช้เวลาตัวช่วยของพ่อแม่ เช่น คาร์ซีท รถเข็น ที่นั่งโยกได้ มากกว่าสมัยก่อนเป็นจำนวนที่สูงขึ้นเรื่อย และมีแม่จำนวนเพียง 15% ที่ให้นมลูกถึง 1 ปีเต็ม ปัญหาที่ตามมาจากการเลี้ยงลูกแบบนี้นั้นทำให้มีเปอร์เซ็นต์ของโรคซึมเศร้าและการเกิดความวิตกกังวลเพิ่มมากขึ้น ทุกกลุ่มอายุรวมทั้งในเด็กเล็กไปจนถึงนักศึกษาระดับปริญญา ซึ่งการแสดงออกที่ก้าวร้าวในเด็กเล็กมีเพิ่มขึ้นในขณะที่ความมีเมตตาเห็นอกเห็นใจผู้อื่นนั้นลดน้อยลง
ศาสตราจารย์ ดาร์ซี ยังกล่าวอีกด้วยว่า “สมองซีกขวา ที่ทำงานควบคุมการบังคับและกำกับตัวเอง เป็นสมองที่ใช้เพื่อความคิดสร้างสรรค์ ความเห็นอกเห็นใจมีเมตตา โดยที่ทักษะเหล่านี้จะมีการพัฒนาเหมือนกับการเล่นมวยปล้ำหรือการเต้นรำหรือการสร้างงานศิลปะ ดังนั้นพ่อแม่จำเป็นต้องใช้เวลาร่วมกับลูก ทำกิจกรรมที่สร้างสรรค์ร่วมกัน“
แม้ว่าจะมีกระแสการเลี้ยงลูกแบบไหน หรือเรื่องอะไรที่พ่อแม่ส่วนใหญ่ทำให้เห็นในสังคม คุณพ่อคุณแม่คือคนเดียวที่รู้จักลูกตัวเองดีที่สุด ดังนั้นการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการเลี้ยงลูกของตัวเองไปในทิศทางแบบไหนก็ตาม สิ่งสำคัญที่สุดคือการสังเกตว่าลูกมีการตอบสนองต่อวิธีนั้นอย่างไรบ้างคะ
บทความอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง
6 วิธีเลี้ยงลูกด้วยการคิดบวกช่วยพ่อแม่รู้จัก “อดทน” มากขึ้น
เลี้ยงลูกให้เป็นคนปกติอย่างไรและเข้าใจลูกมากขึ้นภายใน 16 นาที