-
ที่นอนหนูไม่เหมาะกับหลัง
การที่ที่นอนของลูกแข็งหรือนิ่มเกินไปก็เป็นสาเหตุของอาการปวดหลังในเด็กๆได้ คุณแม่หลายคนอาจจะคิดว่าลุกนอนมาตั้งนานทำไมเพิ่งจะมาปวด ก็เพราะช่วงนี้ลูกกำลังมีพัฒนาการทางร่างกายที่เปลี่ยนแปลงเร็ว บางครั้งที่นอนที่ไม่ถูกตามหลักสรีระก็ส่งผลได้ค่ะ
2. กระเป๋าของหนูหนักไปไหม?
เด็กอนุบาลไม่จำเป็นต้องมีหนังสือเรียนมากมายให้ต้องแบกจนหนัก แต่ถ้าเป้ของลูกคุณไม่ได้มาตรฐาน นั่นอาจจะเป็นสาเหตุที่ทำให้เจ้าตัวเล็กปวดหลังได้เช่นกันค่ะ เลือกใช้เป้สะพายหลังที่มีคุณภาพ มีที่บุรับน้ำหนักทั้งสายและแผ่ยหลังจะช่วยได้ค่ะ
3. หนูอ้วนไปหรือเปล่า?
เด็กๆที่มีภาวะอ้วนหรือน้ำหนักเกินก็ส่งผลให้กระดูกสันหลังและก้นกบรับภาระหนักกว่าจุดอื่นๆค่ะ จึงไม่แปลกใจเลยที่เด็กอ้วนนั้นจะมีปัยหาปวดหลัง ซึ่งอาจจะตามมาด้วยโรคอื่นๆอีกมาก เพราะสังคมไทยอยู่ในค่านิยมว่าเด็กอ้วนคือเด็กน่ารัก เลยไม่ได้มองว่าน้ำหนักที่เกินนั้นเป็นปัญหา
อย่างไรก็ตาม ตามหลักการแพทย์แล้วภาวะน้ำหนักเกินส่งผลต่อดรคร้ายมากมาย คุณแม่ควรปรึกษานักโภชนาการเพื่อออกแบบ เรื่องการกินของน้อง ไม่อย่างนั้นคงไม่จบที่อาการปวดหลังแน่นอนค่ะ
4. หนูปวดเรื้อรังระวังเป็นสัญญาณร้าย
อาการปวดหลังเรื้อรังนั้นพบน้อยมากในเด็กเล็ก แต่ก็มีหลายโรคที่เกี่ยวกับข้อและกระดูกที่อาจเกิดจากพันธุกรรม โรคที่พบเจอบ่อยคือ โรคกระดูกสันหลังคด ซึ่งเป็นโรคที่เป็นตั้งแต่กำเนิด สามารถสังเกตได้ง่ายจากมี หลังเอียง หลังคด กระดูกสะบักสองข้างสูงไม่เท่ากัน หน้าอกสองข้างนูนไม่เท่ากัน
การรักษาโรคหลังคดมีรายละเอียดมาก ขึ้นอยู่กับความรุนแรงที่เป็น อายุของผู้ป่วย โดยมีจุดประสงค์ในการรักษาเพื่อพยายาม ทำให้กระดูกสันหลังตรงหรือไม่คดเพิ่มขึ้น ซึ่งมีวิธีรักษาหลายวิธี เช่น การออกกำลังกายกล้ามเนื้อ ใส่เฝือกหลัง ผ่าตัดกระดูกสันหลัง การเลือกวิธีรักษาจะแตกต่างกันในผู้ป่วยแต่ละคน
ดังนั้นหากเจ้าตัวเล็กปวดหลังนานมากกว่า 6 สัปดาห์และการรักษาโดยแพทย์พื้นฐานไม่สามารถทุเลาอาการได้อาจจะต้องลองปรึกษาคุณหมอเฉพาะทางด้านกระดูกและข้อดูค่ะ
5. หนูปวดหลังแถมยังเหนื่อยง่าย
หากลูกมีอาการปวดหลังร่วมกับอาการอื่นๆ เช่น เหนื่อยง่าย ไม่เจริญอาหาร ปวมตามตัว อาจเป้นได้ว่าลุกมีปัญหาเกี่ยวกับไตและระบบขับถ่าย โดยตำแหน่งของไตนั้นจะค่อนไปทางด้านหลัง และเด็กเล็กจะยังไม่สามารถบ่งบอกตำแหน่งที่แน่ชัดได้ คุณแม่ต้องคอยสังเกตอาการน้องและรีบำแไปหาหมอโดยเร็วค่ะ
อาการปวดหลังของเด็กๆดุเหมือนจะเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่ถ้าหากปล่อยทิ้งไว้นาน อาจก่อให้เกิดโรคร้ายตามมาได้ด้วย ดังนั้นคุณแม่เองต้องคอยสังเกตและหาสาเหตุให้ได้ เพื่อไม่ให้เรื่องเล็กๆ กลายเป็นเรื่องใหญ่นะคะ
ที่มา
https://www.si.mahidol.ac.th/sidoctor/e-pl/admin/article_files/954_1.pdf
https://www.thairath.co.th/content/249405
https://www.bloggang.com/viewblog.php?id=cmu2807&date=13-06-2008&group=5&gblog=19