อยากรู้ไหม ทารกเพศหญิงกับเพศชาย ต่างกันอย่างไร

นอกจากเรื่องของกายภาพแล้ว คุณแม่อยากรู้ไหมคะว่า ทารกเพศหญิงและทารกเพศชายนั้น มีความแตกต่างกันอย่างไร อยากรู้ไปอ่านบทความพร้อม ๆ กันเลยค่ะ

นอกจากเรื่องของทางกายภาพ ที่บ่งบอกถึงความแตกต่างระหว่าง ทารกเพศหญิงกับเพศชาย แล้ว คุณพ่อคุณแม่ อาจจะเคยได้ยินคำบอกเล่าผ่านหูกันมาเป็นต้นว่า ทารกเพศหญิงจะพูดได้เร็วกว่า ทารกเพศชาย แต่ก็ไม่มีใครสามารสรุปได้ว่า คำบอกเล่าดังกล่าวนั้นเป็นเรื่องจริง ถึงอย่างไร วันนี้เรามีข้อมูลพื้นฐานเกี่ยวกับความแตกต่าง ทารกเพศหญิงกับเพศชาย มาฝากกันไปดูกันเลย

1. ทักษะในการเข้าหาสังคม มีนักวิจัยหลายคนลงความเห็นเป็นเสียงเดียวกันว่า ทารกเพศหญิงนั้น จะสามารถเข้าหาผู้อื่นได้ง่ายกว่าทารกเพศชาย โดยทารกเพศหญิงนั้น จะชอบที่จะดูและศึกษาหน้าตาของผู้คนที่เธอพบเห็น ผิดกับทารกเพศชาย ที่พวกเขาจะชอบสนใจของเล่น และสิ่งของมากกว่า

2. ความสามารถด้านมิติสัมพันธ์ หมายถึงความสามารถในการรับรู้ตำแหน่งของสิ่งต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดี จากการศึกษาพบว่า ทารกเพศชาย จะมีความสามารถในด้านนี้มากกว่าทารกเพศหญิง พวกเขาชอบที่จะดูและสังเกตว่าสิ่งไหนอยู่ที่ใด สามารถรับรู้ถึงมิติ อันได้แก่ รูปร่าง ความสูง-ต่ำ ใกล้-ไกล ได้ไวกว่าทารกเพศหญิง แต่นั่น ไม่ได้หมายความว่าทารกเพศหญิงผิดปกติ เพียงแต่ธรรมชาติของเพศหญิงนั้น จะชอบอยู่กับความสวยความงาม และโลกของแฟนตาซีมากกว่า การต้องมานั่งเล่นแต่เกมส์เหมือนกับเด็กผู้ช่ายนั่นเอง

3. การเลือกของเล่น อาจจะดูแปลกถ้าเห็นทารกเพศชายชอบเล่นตุ๊กตา ส่วนทารกเพศหญิงชอบเล่นรถไฟหรือรถถังกันใช่ไหม จริง ๆ แล้วเรื่องของการเล่นของเล่นนั้น ไม่ใช่เรื่องแปลก ด้วยความที่พวกเขายังเด็กเล็กเกินไป จึงไม่สามารถแยกแยะได้ว่า ชิ้นไหนคือของเล่นสำหรับเด็กผู้ชายและเด็กผู้หญิง แต่ที่แน่ ๆ ทารกเพศหญิงนั้น จะชอบที่เลือกเล่นของเล่นที่มีความหมายทางจิตใจมากกว่าที่จะเล่นของเล่นที่ดูแข็ง ๆ ไม่มีความอ่อนโยน

4. ทักษะการเดิน ปกติแล้ว ทารกจะเริ่มหัดเดิน ตั้งแต่ช่วงที่มีอายุระหว่าง 9 เดือนถึง 11 เดือน แต่ผู้ปกครองบางท่านก็บอกว่า ไม่จริงหรอก ทารกเพศชายสามารถเดินได้ไวกว่า ทารกเพศหญิง แต่บางครอบครัวก็บอกว่า ไม่จริง ทารกเพศหญิงเดินได้ไวกว่า ต่างหาก ทำให้เกิดข้อถกเถียงกันขึ้น ทั้งนี้ การที่ทารกจะเดินได้ไวหรือช้านั้น ขึ้นอยู่กับความพร้อมของทารกเอง รวมถึงสภาพร่างกาย และการฝึกฝนเป็นหลัก

5. ทักษาด้านการพูด จากผลการวิจัยพบว่า ทารกเพศหญิงจะเริ่มออกเสียงเป็นคำ ได้ไวกว่าทารกเพศชาย โดยจะเริ่มส่งเสียงเป็นคำได้ในช่วงอายุระหว่าง 18 เดือนถึง 2 ปี ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับ สภาพแวดล้อมเป็นหลักด้วยเช่นกัน

6. กิจกรรม ผลการวิจัย ของชาวแคนนาดาพบว่า ทารกเพศชาย จะชอบเล่นผาดโผน ชอบกระโดด วิ่งและ สนุกสนานกับการเล่นลูกบอลมากกว่า ผิดกับทารกเพศหญิง ที่จะชอบยืน และนั่งเล่นอยู่ในพื้นที่ และคลานไปรอบ ๆ มากกว่า

7. ความก้าวร้าว แน่นอนว่า ทารกเพศชายนั้น มีความก้าวร้าว มากกว่า ทารกเพศหญิง พวกเขาชอบความรุนแรง ผิดกับทารกเพศหญิงที่อาจจะมี ความก้าวร้าวอยู่บ้าง แต่แน่นอนว่า ไม่มีทางเท่ากับ ทารกเพศชายแน่ ๆ เว้นแต่ว่า สภาพแวดล้อม จะเป็นสิ่งจูงใจ

ลูกชายหรือลูกสาวดีกว่ากัน

ในยุคสมัยที่เทคโนโลยีก้าวล้ำจนทำให้เราสามารถเลือกเพศของเด็กในท้องได้ โอกาสที่พ่อแม่จะได้ลูกออกมาเป็นชายหรือหญิงจึงกำหนดได้ตั้งแต่ก่อนการตั้งครรภ์ ทั้งด้วยการใช้หลักการทางการแพทย์ไปจนถึงความเชื่อที่บอกเล่าต่อ ๆ กันมา ทำให้โอกาสของการได้เพศลูกตามใจพ่อแม่ได้ต่างจากเมื่อก่อน อย่างไรก็ตาม ข้อดีของการมีลูกชายหรือลูกสาวมีความแตกต่างกันออกไป

ซึ่งแน่นอนว่าไม่มีเพศไหนที่จะสมบูรณ์แบบไปด้วยข้อดีเพียงอย่างเดียว ความพึงพอใจและสิ่งที่พ่อแม่วาดฝันเอาไว้กับลูกที่เกิดมาจึงมักจะเป็นตัวบ่งชี้ว่าเพศไหนสำหรับพวกเขามีข้อดีมากกว่ากัน การเลี้ยงดูเด็กทั้งสองเพศจึงแตกต่างกันออกไปด้วย พ่อแม่ที่วาดหวังให้ลูกน้อยได้ดั่งใจจึงจำเป็นต้องเรียนรู้ทำความเข้าใจพัฒนาการความต่างของแต่ละเพศที่จะมีการเปลี่ยนแปลงกันตั้งแต่วินาทีแรกที่ทารกลืมตาขึ้นมาดูโลก เราอาจจะลองมาดูตัวเลือกที่จะเป็นข้อตัดสินใจบางส่วนให้คุณพ่อคุณแม่มือใหม่ว่าการมีลูกผู้ชายหรือลูกผู้หญิงมีข้อดีแตกต่างกันออกไปอย่างไรบ้าง

ทำความเข้าใจกับการเลี้ยงลูกชายลูกสาว

เป็นเรื่องปกติที่พ่อแม่จะเลี้ยงลูกเพศชายและหญิงแตกต่างกันออกไป ซึ่งเด็กผู้ชายพ่อแม่มักจะแสดงออกกับลูกด้วยท่าทางที่ไม่อ่อนหวานหรือนุ่มนวลเหมือนเด็กผู้หญิง แต่ก็ยังมีการแสดงออกด้วยความเอ็นดูเช่นเดียวกัน เพราะจะเห็นว่าลูกชายจะต้องเป็นคนเข้มแข็งและมีความกล้าหาญ การร้องไห้ในเด็กผู้ชายจึงมักไม่ค่อยได้รับการปลอบโยนเท่าใดนัก ส่วนเด็กผู้หญิงพ่อแม่จะเห็นว่ามีความอ่อนแอมากกว่า ก็จะมีการผ่อนหนักเป็นเบาตามความเหมาะสม

พ่อแม่ที่เลี้ยงลูกได้อย่างถูกวิธีคือการพยายามแสดงพฤติกรรมที่เหมาะสมกับเพศของตัวเองให้ลูกเห็นอย่างชัดเจน พ่อต้องมีความเข้มแข็ง เป็นสุภาพบุรุษ อ่อนโยนต่อสตรีเพศ และมีอดทนอดกลั้นมากกว่า ส่วนแม่จะต้องทำหน้าที่เป็นคนที่คอยดูแลสิ่งต่าง ๆ ในบ้าน ทำหน้าที่ของความเป็นผู้หญิง มีความอ่อนหวาน พูดจาไพเราะ แต่งตัวเรียบร้อยมิดชิด ไม่พูดจาด้วยคำหยาบคาย และที่สำคัญทั้งพ่อและแม่จะต้องไม่แสดงพฤติกรรมรุนแรงให้ลูกเห็น การเติบโตของเด็กทั้งสองเพศในแต่ละช่วงวัยจะมีความแตกต่างกัน การรับรู้สิ่งแวดล้อมรอบตัวจึงแตกต่างกันออกไปด้วยตามลักษณะทางพฤติกรรมดังต่อไปนี้

ความแตกต่างด้านพัฒนาการของเด็กผู้ชายและเด็กผู้หญิงตั้งแต่แรกคลอด

1. เมื่อใดก็ตามที่ทารกชายร้องไห้งอแง การปลอบจะยุ่งยากมากกว่าทารกผู้หญิง เด็กจะไม่ค่อยเชื่อฟังเสียงพูดของพ่อแม่เท่าใดนัก อาจจะต้องใช้เวลากว่าเด็กจะสงบลง อีกทั้งเมื่อใดก็ตามที่ได้ยินเสียงร้องไห้จากเด็กคนอื่น ลูกชายมักจะแสดงท่าทีร้องไห้ออกมาอีกได้ง่าย ส่วนในลูกผู้หญิงจะสามารถปลอบให้หยุดร้องได้ง่ายกว่า ซึ่งเนื่องมาจากพัฒนาการทางสมองที่รับรู้ภาษาของพ่อแม่ได้รวดเร็วกว่า แต่เมื่อได้ยินเสียงเด็กคนอื่นร้องไห้ เด็กผู้หญิงจะร้องไห้ตามนานมากกว่าเด็กผู้ชาย

2. ด้วยพัฒนาการด้านรับรู้ทางภาษา ทำให้การรับรู้เสียงของเด็กผู้หญิงรวดเร็วกว่า การหันมามองเพื่อหาต้นทางของเสียงจึงดีกว่าในเด็กผู้ชาย กรณีที่ได้ยินเสียงพ่อแม่เด็กผู้ชายจะชะงักและหันไปหาเสียงช้ากว่า

3. เด็กผู้หญิงมักจะเรียนรู้สิ่งรอบตัวได้รวดเร็ว สนใจสภาพแวดล้อมรอบ ๆ ตัวตั้งแต่แรกเกิด ซึ่งถือว่าเป็นการกระตุ้นพัฒนาการทางด้านสายตาได้ดีกว่า ส่วนในเด็กผู้ชายพ่อแม่ต้องพยายามกระตุ้นทักษะของพวกเขาให้มากขึ้นจึงจะช่วยเพิ่มทักษะทางด้านการมองเห็น ดังนั้นเด็กผู้หญิงจึงสามารถจ้องหน้าและรับรู้รูปลักษณ์ใบหน้าของพ่อแม่ได้ดีกว่า

4. เด็กผู้หญิงมีความสามารถในการจดจำใบหน้าได้ดีกว่าเด็กผู้ชาย แถมยังแยกแยะอารมณ์ทางสีหน้าของผู้คนได้มากกว่า ส่วนเด็กชายจะหันไปสนใจกับการแยกแยะความแตกต่างจากสิ่งรอบตัวเสียมากกว่า

5. เด็กผู้หญิงจะมีพัฒนาการในการทรงตัวได้ดีกว่า ดังนั้นจึงสามารถลุกขึ้นเดินได้เร็วกว่าในเด็กผู้ชาย

6. เด็กผู้ชายจะสนใจสิ่งรอบตัว พยายามเก็บรายละเอียดสิ่งต่าง ๆ และจดจำได้ดีกว่าเด็กผู้หญิง

7. พัฒนาการในการเจริญเติบโตทุกอย่าง ในเด็กผู้หญิงจะเป็นไปอย่างรวดเร็วกว่าในเด็กผู้ชาย แต่แม้จะมีพัฒนาการที่ช้ากว่า ทว่าเมื่อถึงระยะเวลาที่เหมาะสม ไม่ว่าจะเป็นทักษะทางด้านการพูด การฟัง การเดิน หรือทักษะด้านอื่น ๆ เด็กผู้ชายจะพัฒนาไปอย่างรวดเร็วแบบก้าวกระโดดได้ดีกว่า

8. การเข้าสังคมสำหรับเด็กผู้หญิงแล้วจะเข้ากับเพื่อนฝูงได้ง่ายกว่า ชอบการพูดคุยและพบปะกับเพื่อนใหม่ ๆ ซึ่งนั่นก็เป็นตัวการที่มักทำให้เด็กผู้ชายมีปัญหาทางความเครียดมากกว่า และเกิดเป็นปัญหาทางด้านพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมตามมาได้ง่าย

9. เด็กผู้ชายมักจะชอบการเล่นที่เน้นการแข่งขันเอาชนะ ชอบการเล่นที่ให้ความรู้สึกตื่นเต้น ผาดโผนและเต็มไปด้วยพลังในการกระโดดโลดเต้นมากกว่า ในขณะที่เด็กผู้หญิงจะชอบเล่นอะไรที่มีความนุ่มนวล เรียบง่าย และเต็มไปด้วยจินตนาการเพ้อฝันมากกว่า

ข้อดีของการมีลูกผู้ชาย

1.  ใช้ชีวิตได้ปลอดภัยกว่า พ่อแม่ไม่ต้องห่วงเรื่องความปลอดภัยเท่ากับลูกผู้หญิง โดยเฉพาะเรื่องการถูกทำมิดีมิร้าย เพราะปัญหาส่วนใหญ่มักเกิดขึ้นกับเด็กผู้หญิงที่ขึ้นชื่อว่าเป็นเพศที่อ่อนแอกว่านั่นเอง

2. ดูแลได้ง่ายกว่า ดูแลง่ายในช่วงวัยเด็ก โดยเฉพาะการฉี่ที่ไม่ต้องห่วงเรื่องความสะอาดมากเท่ากับเด็กผู้หญิง เพราะทำความสะอาดได้ง่ายกว่า จึงลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อและการสะสมของสิ่งสกปรกน้อยลง

3. พ่อแม่ส่วนใหญ่หวังพึ่งพิง เนื่องจากลูกชายมักจะมีความสามารถมากกว่าในการช่วยงานในสิ่งที่ผู้หญิงไม่สามารถทำได้ หรือไม่ค่อยมีความมั่นใจ ไม่ว่าจะเป็นการขับรถยนต์ การซ่อมแซมบ้านในส่วนต่าง ๆ ที่มีปัญหา มีลูกชายเอาไว้จึงเป็นเหมือนช่างประจำตัวของบ้านได้

4. ไม่ต้องคอยกังวลเรื่องท้อง แน่นอนว่าการท้องเป็นหน้าที่ของผู้หญิง ดังนั้นพ่อแม่ทั้งหลายจึงไม่ต้องมาคอยนั่งปวดหัวกับการท้องก่อนแต่งของลูกชาย หรือท้องไม่มีพ่อ โตขึ้นมาจึงหมดห่วงในเรื่องนี้ไปได้

5. หางานได้ง่ายกว่าผู้หญิง ผู้ชายส่วนมากมีโอกาสเติบโตในสังคมเป็นเจ้าคนนายคนได้ดีกว่า การมีลูกชายจึงเปิดโอกาสให้เหล่าพ่อแม่วาดฝันเอาได้ว่าลูกจะมีความสามารถเจริญกว่าหน้าในหน้าที่การงานของตัวเองได้ โอกาสเอาตัวรอดในเรื่องนี้จึงมีสูง

6. ช่วยทำให้บ้านปลอดภัย การมีลูกชายช่วยทำให้บ้านดูปลอดภัยมากกว่าการมีแค่ผู้หญิงอยู่ เมื่อพวกเขาโตขึ้นจึงทำหน้าที่เหมือนบอดี้การ์ดคอยปกป้องครอบครัวจากอันตรายได้บ้าง

7. ทำหน้าที่สืบสกุล ด้วยวัฒนธรรมของไทย การแต่งงานคือการสืบสกุลชาติตระกูลของตัวเอง ผู้หญิงจึงจำเป็นต้องหันมาใช้นามสกุลของผู้ชาย (แม้ในปัจจุบันจะมีทางเลือกตามความสมัครใจก็ตาม) มากกว่า ซึ่งถือว่าเป็นข้อได้เปรียบเมื่อมีการจดทะเบียนสมรสเกิดขึ้น สกุลของบ้านที่มีลูกชายก็จะสามารถถูกสืบทอดต่อไปได้

8. ได้บวชเรียนให้กับพ่อแม่ได้ พ่อแม่ที่มีลูกชายย่อมคาดหวังที่จะได้เห็นพวกเขาบวชเพื่อพวกตนสักครั้งหนึ่งในชีวิต เป็นความเชื่อตามประเพณีไทย พ่อแม่จะรู้สึกดีใจมากเมื่อลูกบวชตามกำหนดเมื่อครบอายุ ให้พวกตนได้เกาะชายผ้าเหลืองขึ้นสวรรค์

ข้อดีของการมีลูกผู้หญิง

1. มีเสื้อผ้ามากมายให้เลือกใส่ ด้วยชุดเสื้อผ้าสำหรับเด็กผู้หญิงมีให้เลือกมากกว่า คุณแม่จึงสามารถแต่งตัวให้ลูกสาวได้หลากหลาย แถมแต่ละชุดก็ดูน่ารักน่าชัง จะเปลี่ยนเป็นเจ้าหญิงตัวน้อย ๆ หรือตัวการ์ตูนแสนน่ารักก็ได้ตามใจชอบ

2. สนิทกับคุณแม่มากกว่าคุณพ่อ คุณแม่ส่วนใหญ่จึงสามารถกอดหอมลูกไปได้แบบไม่เขินอาย แม้เด็ก ๆ จะเติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่แล้วก็ตาม การแสดงออกทางความรักระหว่างแม่ลูกจึงดูเป็นอะไรที่อบอุ่นมากเป็นพิเศษ

3. เป็นเพื่อนสนิทให้กับคุณแม่ ลูกผู้หญิงกับแม่เป็นเพศเดียวกัน ดังนั้นเมื่อใดที่ทั้งสองผูกพันและสนิทสนม คุณแม่ก็จะได้ไม่รู้สึกเหงา มีความสุขกับการได้มีเพื่อนเที่ยว เพื่อนกิน หรือแม้แต่คนที่คอยช่วยเลือกเสื้อผ้าและเครื่องสำอางไปด้วยกัน

4. มีความอ่อนโยน เด็กผู้หญิงมีพฤติกรรมที่อ่อนโยนมากกว่าในเด็กผู้ชาย มีนิสัยขี้อ้อน มีความอ่อนโยน อ่อนหวาน และมีมุมที่น่ารักจนคุณพ่อและแม่ต้องอมยิ้มอยู่บ่อย ๆ จึงทำให้พวกเขาดูน่ารัก น่าทะนุถนอม

5. เลี้ยงง่ายกว่า ลูกผู้หญิงส่วนมากซนน้อยกว่าและเชื่อฟังได้ดี มีความเมตตากรุณา จะสร้างลักษณะนิสัยพื้นฐานของตนเองโดยมีแม่เป็นตัวอย่าง จึงทำให้พ่อแม่เหนื่อยน้อยกว่าการเลี้ยงลูกชายที่มักจะซนเป็นลิงอยู่บ่อย ๆ

6. ช่วยทำงานบ้านได้ดี เด็กผู้หญิงจะทำงานเป็นระเบียบและมีความละเอียดอ่อนได้ดีกว่า ไม่ว่าจะเป็นการทำความสะอาดบ้าน ซักผ้า พับผ้า และงานบ้านอื่น ๆ พวกเขาสามารถใส่ใจกับรายละเอียดในจุดเล็ก ๆ ได้เป็นอย่างดี จึงช่วยแบ่งเบาภาระของคุณแม่ให้น้อยลงได้

8. ติดพ่อแม่มากกว่า เด็กผู้หญิงส่วนมากจะติดพ่อแม่มากกว่าเด็กผู้ชาย จะชอบพูดคุยอยู่กับพ่อแม่ แต่เด็กผู้ชายมักจะหันเหจุดสนใจของตัวเองไปที่ของเล่น ที่สำคัญสังคมส่วนใหญ่ที่พบเมื่อเด็กผู้หญิงโตขึ้นก็มักจะให้ความสำคัญกับการดูแลครอบครัว ใส่ใจในรายละเอียด ไม่ค่อยปล่อยปละละเลยพ่อแม่ในยามแก่ชรา

9. สอนง่ายกว่าเด็กผู้ชาย เพราะมีพัฒนาการในการเรียนรู้และทำความเข้าใจสิ่งต่าง ๆ รอบตัวได้ดีกว่า พวกเขาจึงเชื่อฟังและทำตามอย่างง่ายดาย ไม่ค่อยแสดงออกด้วยพฤติกรรมต่อต้านที่ก้าวร้าว

10. ช่วยดูแลน้อง ๆ หากคุณแม่มีน้องเพิ่ม ลูกผู้หญิงคนโตจะสามารถทำหน้าที่แบ่งเบาภาระ ช่วยเลี้ยงน้องได้อีกแรง เพราะด้วยเป็นเพศหญิงด้วยกันจึงเข้าใจถึงการเลี้ยงดูเด็กที่เป็นสัญชาตญาณติดตัวมาของผู้หญิงอยู่แล้วนั่นเอง

11. เสี่ยงต่อการติดยาเสพติดน้อยกว่า ลูกผู้หญิงส่วนใหญ่หากเลี้ยงให้ดีแล้ว ก็จะช่วยให้พวกเขาสามารถเติบโตขึ้นเป็นเด็กที่ดีได้ง่าย โดยเฉพาะความเสี่ยงที่จะเข้าไปเกี่ยวข้องกับยาเสพติดและสิ่งไม่ดี มีโอกาสเกิดขึ้นได้น้อยกว่า

12. บ้าพลังน้อยกว่า เพราะความอ่อนโยนเป็นพื้นฐานในตัวผู้หญิง เด็ก ๆ จึงมีโอกาสน้อยที่จะเข้าไปสร้างการทะเลาะวิวาท ชกต่อยกับเพื่อน ๆ เหมือนเด็กผู้ชาย

13. มีความระมัดระวัง ลูกผู้หญิงจะมีความระมัดระวังในการทำสิ่งต่าง ๆ ด้วยความไม่ประมาท จึงทำให้ความเสี่ยงต่อการเกิดอันตรายได้น้อยกว่า ต่างจากเด็กผู้ชายที่ชอบความท้าทาย ผาดโผน จึงไม่ค่อยระมัดระวังตัวเองทำให้พ่อแม่เป็นห่วงอยู่บ่อย ๆ

ข้อดีของการมีลูกชายหรือลูกสาวของแต่ละครอบครัวจึงแตกต่างกันออกไป ซึ่งถือว่ามีทั้งข้อดีและข้อเสีย บางคู่รักก็ชอบเด็กผู้หญิง บางคู่ก็ชอบเด็กผู้ชายมากกว่า ตามการปลูกฝังมาจากครอบครัวและประสบการณ์ที่ตนเองมี ถึงอย่างไรก็ตามไม่ว่าลูกที่ออกมาจะเป็นเพศไหน การเลี้ยงดูเป็นหนึ่งในปัจจัยที่จะช่วยส่งผลให้เด็กเลี้ยงง่ายหรือยากพฤติกรรมแต่ละเพศของลูก ๆ จึงเป็นสิ่งที่พ่อแม่จำเป็นต้องเรียนรู้ทำความเข้าใจถึงจุดต่าง การเลี้ยงดูอย่างถูกต้อง ไม่ว่าจะเป็นลูกผู้หญิงหรือชายก็จะทำให้พ่อแม่สบายใจและมีความสุข ดังนั้นหากไม่ได้เพศของลูกอย่างที่ตั้งใจไว้ ขอแค่ให้คุณพ่อและแม่เลี้ยงดูเขาให้ดี ก็จะทำให้ลูก ๆ เป็นคนดีของครอบครัวและสังคม ได้เห็นพวกเขาเติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ที่สมบูรณ์แบบได้ไม่แพ้กันอย่างแน่นอน

ที่มาจาก : www.si.mahidol.ac.th

บทความอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

10 ข้อดีของ การมีลูกชาย มีลูกชายดียังไง มีลูกชาย โชคดีจริงไหม?

เคล็ดลับน่ารู้ ชวนสามีทำลูกสาว ท่าทำลูกสาว เคล็ดลับ อยากมีลูกสาวทำไง!

ชื่อภาษาอังกฤษ สำหรับลูกแฝด ชายหญิง , หญิงหญิง , ชายชาย ไอเดียตั้งชื่อ ลูกแฝด

บทความโดย

Muninth