วิธีดูแลตนเองหลังคลอดธรรมชาติ การคลอดเป็นวิถีธรรมชาติที่เกิดขึ้นกับร่างกายของแม่ตั้งครรภ์เมื่อครบกำหนด 9 เดือน กลไกของร่างกายจะขับทารกออกจากโพรงมดลูก ต่อมใต้สมองจะหลั่งฮอร์โมนสำหรับการคลอดไปกระตุ้นให้มดลูกบีบรัดตัวอย่างสม่ำสมอและถี่ขึ้นเรื่อย ๆ เพื่อผลักศีรษะของทารกให้ลงไปในอุ้งเชิงกรานให้มากขึ้น ขณะเดียวกันถุงน้ำคร่ำและศีรษะของทารกในครรภ์ดันออกมาทำให้ปากมดลูกขยายตัวกว้างขึ้น มีมูกเลือดออกจากช่องคลอด ซึ่งเป็นสัญญาณอย่างหนึ่งบอกให้รู้ว่า เริ่มเข้าสู่ระยะเจ็บครรภ์คลอดแล้ว และ เรามี คำแนะนำหลังคลอด มาให้คุณแม่ด้วยค่ะ
หลัก ๆ แบ่งออกเป็น 3 ระยะของการคลอดธรรมชาติ
- ระยะที่ 1 ระยะเปิดขยายของปากมดลูก
- ระยะที่ 2 ระยะที่มีลมเบ่งและคลอดทารก
- ระยะ ที่ 3 ระยะคลอดทารกแล้วไปจนกระทั่งคลอดรก
หลังจากที่คุณแม่คลอดทารกปลอดภัยทั้งแม่และลูกแล้ว ต่อไปเข้าสู่ขั้นตอนการดูแลตนเองหลังคลอดธรรมชาติ เพื่อฟื้นฟูร่างกายของแม่ท้องที่คลอดธรรมชาติ มีวิธีการดูแลตนเองหลังคลอดอย่างถูกต้องและปลอดภัย ดังนี้
ดูแลหลังคลอด มีวิธีไหนบ้าง คำแนะนำหลังคลอด
1.การเคลื่อนไหวร่างกายหลังคลอดธรรมชาติ
แม่ท้องคลอดธรรมชาติหลังคลอดแล้วแน่นอนว่าคุณแม่ยังรู้สึกเจ็บฝีเย็บและมีอาการปวดท้องซึ่งเป็นเรื่องปกติ จนคุณแม่ไม่กล้าขยับเขยื่อนไปไหนเพราะลกัวเจ็บ ในทางกลับกันคุณหมอจะแนะนำให้มีการเคลื่อนไหวร่างกายมากกว่า เช่น ลูกไปเข้าห้องนำ้เอง ไปล้างหน้า แปรงฟัน ฝึกดูแลลูก ข้อดีของการเคลื่อนไหวตนเองหลังคลอด คือ เมื่อขยับร่างกาย กล้ามเนื้อและบริเวณแผลฝีเย็บจะสมานเร็วขึ้น ที่สำคัญการเคลื่อนไหวร่างกายไม่มีผลต่อการกระทบกระเทือนมดลูกแต่อย่างใด การออกกำลังกายเบา ๆ ตามที่คุณหมอแนะนำ เช่น การเดิน หรือแม้แต่การเดินขึ้นลงบันไดสามารถทำได้ สิ่งที่ต้องระมัดระวัง คือ การยกของหนัก แบบนี้ไม่ควรทำเพราะจะกระทบกระเทือนมดลูกมากเกินไปค่ะ
2.การดูแลฝีเย็บ
คุณแม่หลังคลอดธรรมชาติทางช่องคลอด คุณแม่จะมีอาการปวดแผลฝีเย็บซึ่งถือเป็นเรื่องปกติ ถ้าปวดมาก ๆ ให้ทานยาแก้ปวดเพื่อระงับอาการปวดแผลได้ฝีเย็บได้ ควรใช้ยาจำพวกไทลินนอล (Tylenol) หรือกลุ่มพาราเซตามอล (Paracetamol) ทุก 4- 6ชั่วโมง อาการปวดจะทุเลาลง
ส่วนการอบแผลด้วยความร้อนและการอาบน้ำอุ่นจะช่วยลดอาการบวมแดงของแผลลงได้และบรรเทาอาการเจ็บแผล สำหรับยาแก้อักเสบคุณหมอจะเป็นผู้จัดให้คุณแม่ไม่ควรหาซื้อมารับประทานเอง ส่วนใหญ่แล้วหลังคลอดคุณแม่มักจะกังวลแผลฝีเย็บ ดังนั้น มาดูกันค่ะว่า การดูแลแผลฝีเย็บอย่างไรให้แผลหายเร็วและช่วยลดความเจ็บปวด
- การล้างแผลฝีเย็บควรล้างด้วยน้ำอุ่นต้มสุก ไม่จำเป็นต้องใช้น้ำยาล้างแผลแจ่อย่างใด เมื่อล้างแผลเสร็จแล้วให้ใช้ผ้าสะอาดหรือสำลีซับให้แก้งก็เพียงพอแล้ว หากแผลถูกน้ำตอนอาบน้ำไม่มีปัญหา ไม่จำเป็นต้องใช้น้ำยาล้างจุดซ่อนเร้นแต่อย่างใด ที่สำคัญห้ามใช้ฝักบัวหรือหัวฉีดล้างชำระฉีดแผล เพราะแรงดันของน้ำอาจทำให้แผลกออกจากกันได้ และอาจทำให้เชื้อโรคเข้าสู่แผลอีกด้วย หลังจากนั้นประมาณ 5 – 6 วัน แผลจะแนบสนิทกันดีไม่ต้องทำอะไรให้เป็นพิเศาจะแห้งได้เองตามธรรมชาติหากดูแลอย่างถูกต้อง
- หลังปัสสาวะคุณแม่ควรใช้น้ำสะอาดหรือน้ำอุ่นชำระล้างบริเวณแผลก็เพียงพอ ซึ่งจะช่วยลดอาการแสบคันและป้องกันการอักเสบได้ กรณีที่อุจจาระ คุณแม่ควรใช้กระดาษชำระเช็ดไปทางด้านหลัง ไม่ควรเช็ดออกด้านหน้า เพราะอาจทำให้เชื้อโรคเข้ามาปนเปื้อนบริเวณแผลจนอักเสบได้
- ในช่วงหลังคลอดจะมีน้ำคาวปลาไหลซึมออกมาทางช่องคลอด คุณแม่ควรใส่ผ้าอนามัยเอาไว้ตลอดและเปลี่ยนแผลอนามัยบ่อย ๆ เพราะหากแผลอับชื้นจะำให้เกิดการอักเสบ
- สถานพยาบาลบางแห่งนิยมอบแผลด้วยไฟฟ้า ซึ่งความจริงแล้วไม่มีความจำเป็นและไม่มีผลต่อแผลเท่าใดนัก แต่ถ้าแผลบวมมาก การอบไฟฟ้าหรือนั่งแช่น้ำอุ่นเช้าและเย็นครั้งละ 15 นาที เพื่อให้เลือดมาเลี้ยงบริเวณปากช่องคลอดมากขึ้นอาจจะช่วยให้หายเร็วได้ค่ะ
3.การอยู่ไฟ
เรื่อง การอยู่ไฟหลังคลอดคนไทยมักจะอยู่ไฟหลังคลอดกระทำสืบต่อกันมาในช่วงหลังคลอด เรียกว่า ระยะอยู่ไฟ เพระาเชื่อกันว่า การอยู่ไฟจะช่วยให้ร่างกายอบอุ่น ช่วยบรรเทาอาการปวดและบำบัดโรคหลังคลอดได้ ซึ่งมีทั้งการอยู่ไฟแบบโบราณและการอยู่ไฟแบบสมัยใหม่ แต่ไฟควรอยู่ไฟแบบอ่อน ๆ และไม่นำลูกน้อยเข้าไปอยู่ไฟด้วยนะคะ ร่างกายในช่วงอยู่ไฟจะเสียเหงื่อมาก อาจทำให้ร่างกายขาดน้ำ ดังนั้น คุณแม่ควรดื่มน้ำให้มากขึ้นกว่าเดิม
4.การนั่งและยืนให้ถูกท่า
เวลานั่งในช่วงหลังคลอดธรรมชาติ การนั่งกระทบแผลฝีเย็บเพราะน้ำหนักตัวทับลงกับพื้น จึงทำให้แมหลังคลอดธรรมชาตินั่งตัวตรงไม่ค่อยได้ หรือแม้แต่คนที่ชอบนั่งขัดสมาธิ ซึ่งท่านี้จะทำให้ขาแยกออกจากกัน ยิ่งทำให้แผลที่ตึงอยู่แล้วแทบจะปริแยกออกจากกัน ดังนั้น ท่านั่งที่ดีที่สุดสำหรับคุณแม่ คือ ท่านั่งพับเพียบ เพราะนั่งท่านี้ทำให้แผลไม่กระทบกระเทือน เวลาลุกนั่งไม่ควรกระทำด้วยความรวดเร็วเกินไป
สำหรับการเดิน คุณแม่ไม่ควรก้าวเท้ายาว ๆ ค่อย ๆ เดิน ก้าวสั้น ๆ และไม่ควรเดินหนีบ ๆ เพราะจะทำให้แผลเสียดสีกัน แต่ให้เดินปกติขาแยกจากกันเล็กน้อย โดยให้เดินเช่นนี้ประมาณ 7 วัน เมื่อแผลดีขึ้นคุณแม่จะเดินได้อย่างสบายดังเดิม
5.เปลี่ยนผ้าอนามัย
ในช่วงหลังคอลดธรรมชาติ น้ำคาวปลาจะออกมามากกว่าผ่าตัดคลอด จะออกมาในช่วง 2 – 3วันแรก ถือเป้นเรื่องปกติ คุณแม่ต้องรักษาความสะอาดโดยการเปลี่ยนแผ้าอนามัยบ่อย ๆ หรือเปลี่ยนทันทีเมื่อรู้สึกว่าผ้าอนามัยชุ่มแล้วหรือเปลี่ยนทุก ๆ 3 ชั่วโมงเพื่อรักษาความสะอาดป้องกันการอักเสบติดเชื้อจากการอับชื้น เวลาเปลี่ยนผ้าอนามัยให้ดึงผ้าอนามัยจากทางด้านหน้าไปด้านหลังเพื่อป้องกันการติดเชื้อภายในช่องคลอด และไม่ควรใช้ผ้าอนามัยแบบสอด
6.อาหารการกินหลังคลอด
อาหารสำหรับคุณแม่หลังคลอดควรเป็นอาหารที่ย่อยง่าย รสไม่จัด หมายถึง เผ็ดจัด เปรี้ยวจัด เค็มจัดหรือหวานจัด และควรมีกากใยเพื่อช่วยในการขับถ่ายให้สะดวก ป้องกันท้องผูก เนื่องจากหลังคลอดในระยะแรก ฮอร์โมนที่ทำให้ท้องผูกยังออกฤทธิ์อยู่ ระยะนี้คุณแม่ไม่ควรเบ่งอุจจาระเพราะจะทำให้เจ็บแผลมาก
สำหรับคุณแม่ที่เลี้ยงลุกด้วยนมแม่ อาหารถือเป้นสิ่งสำคัญที่ต้องเอาใจใส่ จำเป้นต้องได้รับปริมาณและคุณค่าทางอาหารอย่างเพีงพอ รับประทานให้ครบ 5 หมู่ โดยเฉพาะเนื้อปลา เนื้อสัตว์ นม ไข่ ผักและผลไม้สด ซึ่งจะช่วยซ่อมแซมร่างกายในส่วนที่สึกหรอจากการคลอดธรรมชาติ และยังเพิ่มการสร้างน้ำนมให้ลูก ร่างกายจฟื้นตัวได้เร็ว ส่วนไขมันและคาร์โบไฮเดรต ข้าว แผ้ง น้ำตาล ไม่ควรรับประทานมากเกินไป โดยเฉพาะคุณแม่ที่มีรูปร่างอ้วนเป็นทุนเดิมเพราะจะทำให้ลดน้ำหนักหลังคลอดได้ยาก
7.การดูแลเต้านม
ในช่วงหลังคลอดธรรมชาติ คุณแม่ที่ให้นมลูก เต้านมของคุ๕แม่จะมีน้ำหนักและขนาดใหญ่มากกว่ากติถึง 3 เท่า ทำให้เอ็นที่พยุงเต้านมเกิดการยืด คุณแม่ไม่ควรสวมเสื้อในแบบโครงเหล็ก เพราะจะไปกดทับท่อน้ำนม การดูแลเต้านมในระยะหลังคลอดควรปฏิบัติดังนี้
- ถ้ารู้สึกเจ็บเต้านมในช่วง 2 – 3วันหลังคลอด เพระาเกิดจากการคั่งของเลือดและน้ำเหลือง อาการปวดจะทุเลาลงได้ด้วยการให้คุณแม่ประคบด้วยความเย็ยสลับความร้อนช่วยลดอาการปวดบวมได้
- อาการตึงคัดเต้านม คุณแม่ควรให้ลุกน้อยดูดนมบ่อย ๆ เพื่อลดการคั่งของน้ำนม
- คุณแม่ควรใช้สำลีชุบน้ำเช็ดบริเวณเต้านม ไม่ควรใช้สบู่เพราะจะทำให้หัวนมแห้งและแตกได้
- สำหรับการดูแลเต้านมก็ทำแค่พร้อมกับอาบน้ำในแต่ละวันก็เพียงพอ หากมีปัยหาหัวนมแตกหรอืเจ็บ ควรใช้ครีมตามที่คณหมอสั่งและงดการให้นมข้างนั้นจนกว่าจะหาย ในระหว่างงดให้นมคุณแม่ควรบีบน้ำนมทิ้งเพื่อกระตุ้นเกิดการไหลเวียนของน้ำนมไปด้วย
บทความที่เกี่ยวข้อง : การดูแลเต้านม / 100 สิ่งที่คุณแม่หลังคลอดต้องรู้ ตอนที่ 66
8.การรักษาความสะอาดของร่างกาย
ถ้าหลังคลอดธรรมชาติตามช่องคลอดปกติ คุณแม่สามารถอาบน้ำ สระผมได้ปกตินะคะ อย่างน้อยวันละ 1 ครั้ง และสระผม สัปดาห์ละ 2 – 3 ครั้ง เพราะ ในระหว่างรอคลอด และการคลอด คุณแม่เสียพลังงานในการเบ่งคลอดไปมาก ทำให้ร่างกายมีเหงื่อไคลหมักหมมแต่สิ่งที่ควรระวังสำหรับการอาบน้ำ คือ อย่าแช่น้ำนานเกินไป เพราะทำให้ร่างกายเจ็บป่วยได้ง่าย เนื่องจากร่างกายยังอ่อนเพลียอยู่อาจทำให้คุณแม่หน้ามืดเป็นลมได้ และต้องล้างมือให้สะอาดหากสัมผัสบริเวณอวัยวะเพศ อาจทำให้เสี่ยงติดเชื้อได้