น้ำตาแห่งความอาลัยไหลท่วมแผ่นดินไทย
คำสอนของพ่อหลวง
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช พระมหากษัตริย์ลำดับที่ 9 แห่งราชวงศ์จักรี เสด็จพระราชสมภพเมื่อวันที่ 5 ธันวาคม 2470 ณ โรงพยาบาลเมาต์ออเบิร์น เมืองเคมบริดจ์ รัฐแมสซาชูเซตส์ สหรัฐอเมริกา สิริพระชนมพรรษา 89 ปี เสด็จสู่พระราชสมบัติเมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2489 ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ผู้เสวยราชย์นานที่สุดในโลกขณะทรงมีพระชนมชีพอยู่ และยาวนานที่สุดในประเทศไทย รวมเวลา 70 ปี ทรงมีพระปฐมบรมราชโองการ
เนื่องในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก “เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม”
ทรงเป็นที่รักและเทิดทูนยิ่งของปวงชนชาวไทย ทรงตรากตรำพระวรกายทรงงานอย่างหนัก เสด็จฯ ทั่วทุกพื้นที่แผ่นดินไทย
ไม่ว่าที่แห่งนั้นจะไกลเพียงใด ไม่ว่าการเดินทางจะลำบากแค่ไหน
พระองค์ยังพระราชทานโครงการมากมาย เพื่อประโยชน์สุขของพสกนิกร ทรงจัดตั้งโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ อาทิ โครงการฝนหลวง, โครงการปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง และโครงการศูนย์การศึกษาการพัฒนาอันเนื่องมาจากพระราชดำริ
ทรงมีพระปรีชาสามารถในศาสตร์หลายแขนง ทั้งการดนตรี กีฬา และการถ่ายภาพ โดยคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ ขอพระราชทานถวายพระราชสมัญญา “อัครศิลปิน”
คำสอนของพ่อหลวง
นอกจากพระราชกรณียกิจและการทรงงานอย่างหนักของพระองค์ พระราชดำรัส รวมถึงพระบรมราโชวาท พระราชทานในโอกาสต่างๆ ก็เป็นสิ่งที่คนไทยน้อมนำมาใช้อยู่เสมอ
สำหรับคำสอนของพระองค์ในฐานะพระราชบิดา ทางเว็บไซต์ kalyanamitra.org ได้ลงบทความ ทรงเป็นแบบอย่างแห่งความดี เล่าถึงเรื่องนี้ตอนหนึ่งว่า
เมื่อสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเจริญพระชนมพรรษา และทรงมีครอบครัวของพระองค์เอง ทรงมอบหมายพระราชภาระในการเลี้ยงดูอบรมสั่งสอนพระราชโอรส พระราชธิดา ให้เป็นหน้าที่ของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ
สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงเล่าไว้ในหนังสือสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ว่า เมื่อทรงพระเยาว์ พระเจ้าลูกเธอทุกพระองค์ทรงปฏิบัติตามตารางเวลาที่พระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงวางไว้โดยเคร่งครัด เช่น “เช้าต้องดูหนังสือ กินข้าวแล้วเดินไปโรงเรียน ตอนบ่ายกลับมาขึ้นเฝ้าฯ ให้ท่านเห็นหน้าเห็นตา บ่ายสองสามโมงออกอากาศ (เดินเล่น) ห้าโมงขึ้นมากินข้าวเย็น…ทุ่มหนึ่งก็เข้านอน”
เพราะตามเสด็จฯ ถวายการรับใช้อย่างใกล้ชิดที่สุด ในฐานะที่ทรงเป็นราชเลขาส่วนพระองค์ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ จึงทรงทราบดีถึงพระราชหฤทัยลึกๆของทูลกระหม่อมพ่อ ได้พระราชทานสัมภาษณ์ไว้ในหนังสือเทิดพระเกียรติ “ในหลวงของเรา” จัดทำโดย “นายอัครวัฒน์ โอสถานุเคราะห์” ว่า “ทูลกระหม่อมพ่อจะพระราชทานคำแนะนำในทุกด้านที่ไปทูลถาม เพราะทรงทราบทุกเรื่อง นอกจากนั้นยังทรงสนับสนุนในการค้นคว้าหาความรู้ แต่ที่สำคัญที่สุดคือ ทรงสนับสนุนให้ใช้ความคิดในทุกด้าน ไม่เคยทรงเบื่อที่จะฟังการออก ความคิดเห็นในเรื่องต่างๆ จะทรงช่วยวิจารณ์ความคิดนั้นๆ และพระราชทานพระราชดำริเพิ่มเติมด้วย… ทูลกระหม่อมพ่อจะทรงใช้ในงานจิปาถะต่างๆ ไม่ได้มีหน้าที่แน่นอน นอกจากได้สนองพระเดชพระคุณในการคอยดูแลสอดส่องทุกข์สุข และให้กำลังใจประชาชน คอยดูแลในด้านงานอาชีพ
…สิ่งที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวไม่โปรด คือการกระทำที่ผิดทำนองคลองธรรม ไม่เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม ต่อประชาชนชาวไทย…เวลาที่ทรงพระสำราญ คือ เวลาที่เสด็จออกวางโครงการพัฒนาประเทศ และเห็นว่าพระราชดำริคงจะมีประโยชน์ต่อ ประชาชนในเวลาที่เห็นผลจากโครงการต่างๆ อีกประการหนึ่งคือ การที่ได้ทอด พระเนตรเห็นประชาชนมีน้ำใจต่อท่านและประชาชนด้วยกัน ไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินจะมีส่วนช่วยพระองค์ท่านได้ โดยการช่วยตัวเอง ช่วยเพื่อนร่วมชาติคนอื่นๆ มีความรักความสามัคคีกัน ทำตนเป็นพลเมืองดี เห็นแก่ชาติบ้านเมือง
ขอน้อมส่งเสด็จพระองค์สู่สวรรคาลัย ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อมขอเดชะ ข้าพระพุทธเจ้า ทีมงาน ดิเอเชี่ยนพาเร้นท์
ที่มา : prachachat.net