การให้ลูกนอนด้วยนั้น เป็นสิ่งที่พ่อแม่หลายคนนิยมทำ เพราะสะดวกต่อการให้นม ดูแลลูก และสร้างความอบอุ่นให้กับลูก แต่การนอนร่วมกับลูกนั้น ให้ลูกนอนด้วยจนถึงกี่ขวบดี ?
ให้ลูกนอนด้วยจนถึงกี่ขวบดี ? ไม่มีคำตอบตายตัว
การให้ลูกนอนด้วยนั้น ขึ้นอยู่กับความพร้อมของทั้งลูกและพ่อแม่ โดยทั่วไปแล้ว เด็กทารกแรกเกิดจนถึงวัย 6 เดือน แนะนำให้ให้ลูกนอนร่วมกับพ่อแม่ เพื่อสะดวกต่อการให้นม ดูแลลูก และสร้างความอบอุ่นให้กับลูก
เมื่อลูกอายุ 6 เดือนขึ้นไป พ่อแม่สามารถเริ่มฝึกให้ลูกนอนคนเดียว หรือแยกห้องนอนลูกได้ โดยค่อยๆ ปรับเปลี่ยนบรรยากาศการนอนของลูก เช่น แยกเปลนอนลูกไว้ใกล้ๆ เตียงพ่อแม่ หรือจัดห้องนอนให้ลูกแยกต่างหาก
อย่างไรก็ตาม การฝึกให้ลูกนอนแยกห้องนั้น ควรทำอย่างค่อยเป็นค่อยไป และใจเย็นๆ ไม่ควรบังคับลูกจนเกินไป เพราะอาจทำให้ลูกเกิดความเครียด กลัว และนอนหลับยาก หรือหลายบ้านอาจให้ลูกนอนด้วยจนกว่าลูกจะบอกเองว่าขอแยกห้องก็ได้
4 สัญญาณที่บ่งบอกว่าลูกพร้อมที่จะนอนแยกห้อง
การตัดสินใจแยกห้องนอนลูก ฝึกให้ลูกนอนคนเดียว เป็นก้าวสำคัญหนึ่งในพัฒนาการของเด็ก หลายครอบครัวอาจกังวลว่าลูกจะยังไม่พร้อม แต่จริงๆแล้ว สังเกตสัญญาณง่ายๆ เหล่านี้ บอกได้ว่าถึงเวลาแล้วที่ลูกน้อยของคุณพร้อมนอนห้องเดี่ยว
-
ลูกนอนหลับยาวนานขึ้น
เมื่อลูกโตขึ้น พัฒนาการด้านการนอนหลับก็ดีขึ้นเช่นกัน สังเกตได้โดย ลูกนอนหลับได้ 5-6 ชั่วโมงติดต่อกันโดยไม่ตื่นกลางดึกตื่นเช้าขึ้นโดยสดชื่น ไม่ง่วงเหงา แสดงว่า ร่างกายของลูกผลิตฮอร์โมนเมลาโทนินมากขึ้น ช่วยให้ควบคุมวงจรการนอนหลับ
-
ลูกนอนหลับโดยไม่ต้องให้นมหรือกล่อม
ลูกเริ่มเรียนรู้การนอนหลับเองโดยไม่ต้องพึ่งพาการกล่อม ให้นม หรือดูดนมขวด ไม่งอแงหรือร้องไห้เรียกหาพ่อแม่ตอนกลางคืน แสดงว่า ลูกเริ่มมีทักษะการกล่อมตัวเองให้นอนหลับ และสามารถแยกแยะกลางวันและกลางคืนได้ดีขึ้น
-
ลูกตื่นนอนกลางดึกน้อยลง
เมื่อลูกนอนหลับยาวนานขึ้น นอนหลับต่อเนื่องจนถึงเช้า ตื่นนอนกลางดึกน้อยลง หรือไม่ตื่นเลย แสดงว่า นาฬิกาชีวิตของลูกเริ่มปรับตัว และลูกนอนหลับเต็มอิ่ม พักผ่อนอย่างเพียงพอ
-
ลูกแสดงท่าทีอยากนอนคนเดียว
เมื่อลูกเริ่มขอผ้าห่ม หมอน หรือตุ๊กตาตัวโปรดไว้กอดนอน หรือชี้ไปที่เตียงของตัวเอง บอกให้อุ้มไปนอน หรือแม้กระทั่ง พูดว่าอยากนอนคนเดียว แสดงว่าลูกเริ่มมีความเป็นส่วนตัว และพร้อมที่จะแยกจากพ่อแม่
นอนแยกห้อง ดีอย่างไร? 5 ข้อดีที่คุณพ่อคุณแม่ควรรู้
การนอนแยกห้อง จริงๆแล้ว มีข้อดีมากมาย ดังนี้
-
ลูกมีพื้นที่ส่วนตัว
ห้องนอนเปรียบเสมือนโลกส่วนตัวของลูก ลูกน้อยจะได้ตกแต่งห้องตามสไตล์ที่ชอบ เก็บของเล่น หนังสือ หรือของสะสม มีพื้นที่สำหรับเล่น วาดรูป หรืออ่านหนังสือ
-
ลูกนอนหลับสบายขึ้น
การนอนแยกห้องช่วยให้ลูก ควบคุมแสง เสียง และอุณหภูมิในห้องได้เอง นอนหลับโดยไม่ถูกรบกวนจากเสียงกรน หรือพฤติกรรมการนอนของผู้อื่น นอนหลับยาวนานและสบายขึ้น
-
พ่อแม่มีเวลาส่วนตัวมากขึ้น
เมื่อลูกนอนแยกห้อง พ่อแม่จะได้มีเวลาพักผ่อน นอนหลับเต็มอิ่ม ใช้เวลากับคู่ครองโดยไม่มีลูกคั่นกลาง ทำกิจกรรมส่วนตัว เช่น อ่านหนังสือ ดูหนัง หรือทำงาน
-
ฝึกให้ลูกมีความเป็นอิสระ
การนอนแยกห้องเป็นการฝึกให้ลูกดูแลตัวเอง รับผิดชอบต่อสิ่งของของตัวเอง กล้าเผชิญกับความมืด หรือความกลัว มีความเป็นส่วนตัว และมีความมั่นใจ
-
ส่งเสริมพัฒนาการด้านต่างๆ
การนอนหลับที่ดีส่งผลดีต่อพัฒนาการด้านต่างๆ ของลูก ช่วยให้สมองเจริญเติบโต ส่งเสริมการเรียนรู้ รู้จักควบคุมอารมณ์ และมีสมาธิ
นอนแยกห้อง : ข้อเสียที่ควรรู้ก่อนตัดสินใจ
การนอนแยกห้อง แม้จะมีข้อดีมากมาย แต่ก็มีข้อเสียที่ควรรู้ก่อนตัดสินใจ
-
ลูกอาจรู้สึกเหงา
โดยเฉพาะในช่วงแรกลูกอาจร้องไห้ งอแง หรือกลัวความมืด รู้สึกเหงา คิดถึงพ่อแม่ นอนไม่หลับ และตื่นกลางดึกบ่อย
-
ลูกอาจตื่นนอนกลางดึกบ่อย
เมื่อลูกนอนแยกห้อง ลูกอาจไม่คุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมใหม่ ตื่นขึ้นมาเพราะฝันร้าย เจ็บป่วยหรือไม่สบายตัว
-
พ่อแม่ต้องลุกขึ้นมาดูแลลูกบ่อย:
ในช่วงแรกพ่อแม่อาจต้องลุกขึ้นมาดูแลลูกบ่อย อาจนอนหลับไม่เพียงพอ รู้สึกเครียดและกังวล
ฝึกให้ลูกนอนแยกห้อง : 5 เทคนิคเด็ด พาเจ้าตัวน้อยนอนหลับสบาย
การฝึกให้ลูกนอนแยกห้อง ด้วยเทคนิคต่อไปนี้ จะช่วยให้การฝึกราบรื่น และลูกน้อยนอนหลับสบาย
-
สร้างบรรยากาศการนอนที่ดี
- จัดห้องนอนให้มืด สงบ และเย็นสบาย แสงสว่างที่เหมาะสมช่วยให้ร่างกายหลั่งเมลาโทนิน ฮอร์โมนที่ควบคุมการนอนหลับ อุณหภูมิที่เย็นสบาย ช่วยให้นอนหลับสบายยิ่งขึ้น
- เลือกที่นอน หมอน และผ้าห่มที่นุ่มสบาย สัมผัสที่สบาย ช่วยให้ลูกผ่อนคลาย และนอนหลับสบาย
- ใช้ไฟฉายหรือโคมไฟหัวเตียง แสงไฟสลัวๆ ช่วยให้ลูกไม่กลัวความมืด
- วางของเล่นหรือตุ๊กตาตัวโปรดไว้บนเตียง สิ่งของคุ้นเคย ช่วยให้ลูกอบอุ่นใจ
-
กำหนดเวลานอนและตื่นให้ชัดเจน
- ให้ลูกนอนและตื่นนอนเป็นเวลา ร่างกายจะจดจำเป็นนาฬิกาชีวิต ช่วยให้นอนหลับเป็นเวลา
- ปรับเวลานอนก่อน 1-2 ชั่วโมงก่อนนอนจริง กิจกรรมผ่อนคลาย เช่น อ่านหนังสือ เล่นดนตรีเบาๆ ช่วยให้ลูกผ่อนคลายก่อนนอน
- หลีกเลี่ยงการให้นม กินอาหาร หรือเล่นหนักๆ ก่อนนอน ร่างกายจะตื่นตัว ไม่พร้อมนอน
-
ให้ลูกทำกิจกรรมผ่อนคลายก่อนนอน
- อาบน้ำอุ่นๆ ให้ลูกน้ำอุ่นช่วยให้ผ่อนคลายกล้ามเนื้อ
- อ่านนิทานให้ลูกฟัง เสียงบรรยายที่ผ่อนคลาย ช่วยให้ลูกง่วงนอน
- ร้องเพลงกล่อมลูก เสียงร้องเพลงและสัมผัสจากพ่อแม่ ช่วยให้ลูกอบอุ่นใจ
- นวดเบาๆ ให้ลูก การสัมผัสช่วยให้ลูกผ่อนคลาย
-
อยู่ใกล้ๆ ลูกจนกว่าลูกจะหลับ
- นอนข้างๆ ลูกในช่วงแรก การมีพ่อแม่อยู่ใกล้ๆ ช่วยให้ลูกอุ่นใจ และกล้าเข้านอนคนเดียว
- ค่อยๆ ลดระยะเวลาการอยู่เป็นเพื่อน เริ่มจากนั่งข้างเตียง ปิดไฟ เล่าเรื่องราว ค่อยๆ ลุกออกจากห้อง แต่ยังอยู่ในระยะสายตา ค่อยๆ ห่างออกไป จนกว่าลูกจะหลับ
-
ใจเย็นๆ และอดทน
- การฝึกอาจต้องใช้เวลา ใจเย็นๆ อดทน ค่อยๆ ฝึก
- ให้กำลังใจลูก ชมเชยเมื่อลูกนอนหลับเองได้
- อย่าดุ หรือลงโทษลูก หากลูกงอแงให้ใจเย็นๆ พูดจาโน้มน้าว และอธิบายให้ลูกเข้าใจ
ให้ลูกนอนด้วยจนถึงกี่ขวบดี? การให้ลูกนอนด้วยหรือแยกห้องนั้น ขึ้นอยู่กับความพร้อมของทั้งลูกและพ่อแม สิ่งสำคัญคือ พ่อแม่ควรสังเกตสัญญาณจากลูก และค่อยๆ ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการนอนของลูกอย่างค่อยเป็นค่อยไป หากลูกนอนแยกห้องแล้ว พ่อแม่ก็ควรหมั่นไปดูแลลูกเป็นระยะๆ เพื่อให้ลูกอุ่นใจ และรู้สึกปลอดภัย
ที่มา :
https://pantip.com/topic/30580444
https://pantip.com/topic/30595289
บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ
ย้ายลูกจากเปลไปใช้เตียง ได้ตอนไหน เมื่อไหร่ที่เด็กควรย้ายไปนอนเตียง?
วิธีจัดห้องนอนลูก จัดอย่างไรให้ถูกใจและหลับสบาย
ลูกน้อยนอนกับพ่อแม่ดียังไง โดยเฉพาะเด็กขวบปีแรก