เนื้องอกมดลูก มีอาการอย่างไรบ้าง เรื่องควรรู้เกี่ยวกับเนื้องอกมดลูก

Loading...
You got lucky! We have no ad to show to you!
ติดต่อโฆษณา

เนื้องอกมดลูก มีอาการอย่างไร เนื้องอกมดลูกมีวิธีรักษาหรือไม่ แล้วเนื้องอกมดลูกเกิดมาจากสาเหตุอะไร และมีวิธีป้องกันการเกิดเนื้องอกมดลูกไหม มาดูกันเลย

 

เนื้องอกในมดลูกเป็นเนื้องอกที่ไม่เป็นมะเร็งของมดลูกซึ่งมักปรากฏขึ้นในช่วงวัยเจริญพันธุ์ หรือที่เรียกว่า leiomyomas (lie-o-my-O-muhs) หรือ myomas เนื้องอกในมดลูกไม่เกี่ยวข้องกับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นของมะเร็งมดลูกและแทบไม่เคยพัฒนาเป็นมะเร็ง เนื้องอกมีขนาดตั้งแต่ต้นกล้าที่ตามนุษย์ตรวจไม่พบ ไปจนถึงมวลขนาดใหญ่ที่สามารถบิดเบี้ยว และขยายมดลูกได้ คุณสามารถมีเนื้องอกเดียวหรือหลายเนื้องอกได้ ในกรณีที่ร้ายแรง เนื้องอกหลายตัวสามารถขยายมดลูกได้มากจนไปถึงซี่โครง และเพิ่มน้ำหนักได้

 

เนื้องอกมดลูก คืออะไร

เนื้องอกมดลูก (Uterine Fibroids) คือ เนื้องอกชนิดหนึ่งที่ไม่เป็นอันตราย และมีโอกาสที่น้อยมาก ๆ ที่จะกลายเป็นมะเร็งมดลูก

เนื้องอกชนิดหนึ่งที่ไม่เป็นอันตรายและมีโอกาสน้อยมากที่จะกลายเป็นมะเร็งมดลูก เนื้องอกชนิดนี้มักเกิดในผู้หญิงวัย 30-40 ปีไปจนถึงวัยหมดประจำเดือน ซึ่งผู้หญิงที่มีเนื้องอกบริเวณมดลูกอาจมีปัญหาเกี่ยวกับการตั้งครรภ์และการคลอดบุตรหากไม่รับการรักษา

Loading...
You got lucky! We have no ad to show to you!
ติดต่อโฆษณา

 

อาการของเนื้องอกมดลูก

เมื่อเกิดเนื้องอกขึ้นที่มดลูก ผู้หญิงหลายรายอาจไม่มีอาการแสดงใด ๆ แต่บางรายก็อาจมีอาการเกิดขึ้นได้เช่นกัน ซึ่งลักษณะอาการขึ้นอยู่กับบริเวณที่เกิด ขนาด หรือจำนวนของเนื้องอก โดยอาการที่มักพบได้ มีดังนี้

  • ประจำเดือนมามากกว่าปกติ หรือมานานกว่า 1 สัปดาห์
  • รู้สึกแน่นหรือปวดบริเวณท้องน้อย
  • ท้องน้อยมีขนาดโตขึ้น
  • ปัสสาวะบ่อย หรือปัสสาวะลำบาก
  • รู้สึกเจ็บขณะมีเพศสัมพันธ์
  • ปวดหลัง หรือปวดขา
  • ท้องผูก
  • เกิดภาวะแทรกซ้อนระหว่างตั้งครรภ์ คลอดบุตร หรือมีความเสี่ยงที่ทำให้ต้องผ่าคลอด
  • มีบุตรยาก แต่มักเกิดขึ้นได้น้อย

ทั้งนี้ ผู้ป่วยควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจอย่างละเอียด หากมีอาการ เช่น ปวดบริเวณท้องน้อยอย่างเรื้อรัง ประจำเดือนมามากและนานกว่าปกติ เจ็บขณะมีประจำเดือน หรือมีปัญหาในการปัสสาวะ เป็นต้น และควรรีบเข้ารับการรักษาทันทีหากมีเลือดออกทางช่องคลอดอย่างผิดปกติ หรือปวดแปลบบริเวณท้องน้อยอย่างเฉียบพลัน เพราะอาจเป็นสัญญาณอันตรายของโรคที่เกี่ยวกับอุ้งเชิงกรานได้

 

Loading...
You got lucky! We have no ad to show to you!
ติดต่อโฆษณา

ปัจจัยเสี่ยง

มีปัจจัยเสี่ยงบางประการที่เป็นที่ทราบกันดีสำหรับเนื้องอกในมดลูก นอกเหนือจากการเป็นสตรีวัยเจริญพันธุ์ ปัจจัยที่อาจส่งผลต่อการพัฒนาเนื้องอก ได้แก่:

  • กรรมพันธุ์. หากแม่หรือพี่สาวของคุณมีเนื้องอก คุณมีความเสี่ยงที่จะเป็นเนื้องอกมากขึ้น
  • ปัจจัยอื่นๆ. เริ่มมีประจำเดือนตั้งแต่อายุยังน้อย โรคอ้วน; การขาดวิตามินดี การรับประทานอาหารที่มีเนื้อแดงให้สูงขึ้นและผักสีเขียว ผลไม้ และผลิตภัณฑ์จากนมลดลง และการดื่มแอลกอฮอล์รวมทั้งเบียร์อาจเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดเนื้องอกได้

 

สาเหตุของเนื้องอกมดลูก

ปัจจุบันในทางการแพทย์ยังไม่สามารถระบุสาเหตุของการเกิดเนื้องอกมดลูกได้อย่างแน่ชัด แต่สันนิษฐานว่าอาจเกิดจากปัจจัยต่าง ๆ ดังต่อไปนี้

Loading...
You got lucky! We have no ad to show to you!
ติดต่อโฆษณา
  • การเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมนในร่างกาย เช่น ฮอร์โมนเอสโตรเจน และฮอร์โมนโปรเจนเตอโรน เป็นต้น
  • การใช้ยา เช่น การใช้สารหรือยาบางชนิดอย่างยาคุมกำเนิด เพราะอาจเพิ่มการเจริญเติบโตของเนื้องอกมดลูกได้

นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยบางประการที่ทำให้ผู้หญิงเสี่ยงต่อการเกิดเนื้องอกมดลูกมากขึ้น ได้แก่

  • กรรมพันธุ์ หากมีคนในครอบครัวเป็นเนื้องอกในมดลูก อาจมีความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะนี้กับผู้หญิงคนอื่นในครอบครัวมากขึ้น
  • ความแตกต่างทางร่างกาย ผู้หญิงที่มีประจำเดือนก่อนวัย เป็นโรคอ้วน หรือขาดวิตามินดี จะมีความเสี่ยงเผชิญภาวะนี้สูงกว่าคนทั่วไป
  • พฤติกรรมการรับประทานอาหาร คนที่รับประทานเนื้อแดงมาก รับประทานผักใบเขียว ผลไม้ หรือผลิตภัณฑ์จากนมน้อย และดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ จะมีความเสี่ยงในการเกิดเนื้องอกมดลูกมากกว่าคนทั่วไปเช่นกัน

 

การรักษาเนื้องอกมดลูก

ส่วนใหญ่แล้วเนื้องอกมดลูกมักไม่มีอาการใด ๆ และอาจไม่จำเป็นต้องรักษา แต่ต้องเข้ารับการตรวจติดตามอาการอยู่เสมอ และควรดูแลตัวเองด้วยวิธี ดังต่อไปนี้

  • ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ มีการศึกษาพบว่าการออกกำลังกายเป็นประจำสัปดาห์ละ 7 ชั่วโมงขึ้นไปอาจช่วยลดความเสี่ยงการเกิดเนื้องอกมดลูกได้
  • ป้องกันภาวะโลหิตจาง ผู้หญิงที่สูญเสียเลือดไปจากเนื้องอกมดลูกและได้รับธาตุเหล็กไม่เพียงพออาจก่อให้เกิดภาวะโลหิตจางได้ ดังนั้น จึงควรรับประทานอาหารที่มีธาตุเหล็กให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย เพื่อลดความเสี่ยงภาวะโลหิตจาง

ในกรณีที่มีอาการ ผู้ป่วยอาจต้องได้รับการรักษา โดยแพทย์จะเป็นผู้พิจารณาว่าวิธีการรักษาใดเหมาะสมกับผู้ป่วยมากที่สุด ซึ่งจะต้องพิจารณาจากปัจจัยหลายอย่างรวมกัน เช่น อาการที่เกิดจากเนื้องอกมดลูก ขนาดและบริเวณที่เกิดเนื้องอก การวางแผนตั้งครรภ์ในอนาคต อายุของผู้ป่วย และภาวะหมดประจำเดือนที่อาจเกิดขึ้น เป็นต้น

โดยปัจจุบัน สามารถรักษาเนื้องอกมดลูกได้ด้วยวิธี ดังต่อไปนี้

การใช้ยา ในผู้ป่วยที่มีอาการไม่รุนแรง แพทย์จะให้ผู้ป่วยรับประทานยาแก้ปวดอย่างยาไอบูโพรเฟน ยาระงับปวดอื่น ๆ ที่หาซื้อได้ตามร้านขายยาทั่วไป หรือสั่งใช้ยาคุมกำเนิดในปริมาณต่ำเพื่อควบคุมอาการของเนื้องอกมดลูก แต่หากผู้ป่วยมีประจำเดือนมามากกว่าปกติ แพทย์จะแนะนำให้รับประทานอาหารเสริมธาตุเหล็กเพื่อป้องกันหรือรักษาภาวะโลหิตจางด้วย

การรักษาด้วยฮอร์โมน แพทย์อาจใช้ยาฮอร์โมนโกนาโดโทรปินรีลิสซิ่งเพื่อช่วยทำให้เนื้องอกฝ่อลง ทั้งยังช่วยให้อาการต่าง ๆ บรรเทาลงได้ ทว่าการรักษาวิธีนี้จะทำให้การผลิตฮอร์โมนเอสโตรเจนลดลงด้วย ซึ่งจะส่งผลให้เกิดการสูญเสียมวลกระดูก เกิดอาการร้อนวูบวาบ และช่องคลอดแห้งได้ อีกทั้งเนื้องอกมดลูกอาจเกิดขึ้นอีกหากหยุดรักษา ดังนั้น แพทย์จึงมักใช้วิธีนี้ในระยะเวลาสั้น ๆ เพื่อลดขนาดเนื้องอกมดลูกก่อนการผ่าตัด

การผ่าตัด หากผู้ป่วยมีเนื้องอกมดลูกและมีอาการอื่น ๆ ที่ค่อนข้างรุนแรงหรือมีความจำเป็นอื่น ๆ แพทย์จะพิจารณาผ่าตัดรักษาเนื้องอกมดลูก เนื่องจากเป็นวิธีที่ได้ผลมากที่สุด เช่น

  • การผ่าตัดลอกเนื้องอกมดลูก (Myomectomy) เป็นการกำจัดเนื้องอกมดลูกออกโดยยังรักษาเนื้อเยื่อส่วนอื่น ๆ ไว้ เป็นวิธีที่ใช้ในผู้ป่วยที่ต้องการตั้งครรภ์หลังจากผ่าตัดเนื้องอกมดลูกแล้ว หรือไม่ต้องการตัดมดลูกออก โดยสามารถผ่าตัดแบบส่องกล้องหรือผ่าตัดเปิดหน้าท้อง ซึ่งแพทย์จะเลือกใช้วิธีการผ่าตัดโดยพิจารณาจากหลายปัจจัย เช่น ชนิดและขนาดของเนื้องอก รวมทั้งบริเวณที่เกิดเนื้องอก เป็นต้น
  • การผ่าตัดนำมดลูกออกไป (Hysterectomy) เป็นวิธีรักษาที่มั่นใจได้ว่าจะหายขาดจากเนื้องอกมดลูก โดยมักใช้ในกรณีที่เนื้องอกมีขนาดใหญ่หรือมีเลือดออกมาก นอกจากนี้ อาจใช้วิธีนี้กับผู้ป่วยที่อยู่ในวัยใกล้หมดประจำเดือน ผ่านวัยทองไปแล้ว หรือไม่ต้องการตั้งครรภ์อีก ซึ่งถือเป็นการผ่าตัดใหญ่ที่อาจผ่าตัดทางหน้าท้องหรือผ่าตัดด้วยการส่องกล้องได้ และผู้ป่วยจะต้องใช้เวลาหลายสัปดาห์ในการพักฟื้นหลังการผ่าตัด
  • การจี้ทำลายเยื่อบุโพรงมดลูก (Endometrial Ablation) วิธีนี้จะช่วยลดภาวะเลือดไหลทางช่องคลอด โดยอาจจี้ด้วยเลเซอร์ ไฟฟ้า คลื่นไมโครเวฟ หรือความเย็น ซึ่งเป็นการผ่าตัดเล็ก ผู้ป่วยสามารถฟื้นตัวได้เร็ว แต่จะไม่สามารถตั้งครรภ์ได้อีกหลังการรักษา
  • การสลายเนื้องอก เป็นการสอดเข็มและกล้องขนาดเล็กเข้าไปในมดลูก และใช้กระแสไฟฟ้าหรือความเย็นเข้าไปจี้เพื่อทำลายเนื้องอก
  • การอุดเส้นเลือดมดลูก (Uterine Fibroid Embolization: UFE) เป็นการสอดท่อขนาดเล็กเข้าไปในหลอดเลือดที่ส่งเลือดไปหล่อเลี้ยงเนื้องอก จากนั้นจะฉีดพลาสติกขนาดเล็กหรือเจลบางชนิดเข้าไปในหลอดเลือด เพื่ออุดหลอดเลือดไว้ไม่ให้ส่งเลือดไปเลี้ยงเนื้องอกจนทำให้เนื้องอกฝ่อไปในที่สุด โดยวิธีนี้เหมาะสำหรับผู้ป่วยที่มีเลือดออกมาก มีอาการปวดหรือเกิดแรงกดที่กระเพาะปัสสาวะและทวารหนัก รวมทั้งผู้ที่ไม่ต้องการผ่าตัดมดลูก ผลข้างเคียงของการรักษา คือ ผู้ป่วยจะไม่สามารถตั้งครรภ์ได้อีก แต่การรักษานี้ยังอยู่ในขั้นตอนที่ต้องศึกษาเพิ่มเติมเพื่อประสิทธิภาพสูงสุดในการรักษา

 

Loading...
You got lucky! We have no ad to show to you!
ติดต่อโฆษณา

การตั้งครรภ์และเนื้องอก

เนื้องอกมักจะไม่รบกวนการตั้งครรภ์ อย่างไรก็ตาม เป็นไปได้ที่เนื้องอก โดยเฉพาะเนื้องอกใต้เยื่อเมือก อาจทำให้มีบุตรยากหรือสูญเสียการตั้งครรภ์ เนื้องอกในมดลูกอาจเพิ่มความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อนในการตั้งครรภ์บางอย่าง เช่น การหยุดชะงักของรก การจำกัดการเติบโตของทารกในครรภ์ และการคลอดก่อนกำหนด

 

การป้องกัน

แม้ว่านักวิจัยยังคงศึกษาสาเหตุของเนื้องอกในเนื้องอกต่อไป แต่ก็มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์เพียงเล็กน้อยเกี่ยวกับวิธีการป้องกัน การป้องกันเนื้องอกในมดลูกอาจไม่สามารถทำได้ แต่มีเนื้องอกเหล่านี้เพียงเล็กน้อยเท่านั้นที่ต้องได้รับการรักษา แต่ด้วยการเลือกวิถีชีวิตที่มีสุขภาพดี เช่น การรักษาน้ำหนักให้แข็งแรง และการรับประทานผักและผลไม้ คุณอาจลดความเสี่ยงของการเกิดเนื้องอกได้ นอกจากนี้ งานวิจัยบางชิ้นยังชี้ให้เห็นว่าการใช้ฮอร์โมนคุมกำเนิดอาจสัมพันธ์กับความเสี่ยงที่ลดลงของเนื้องอกในมดลูก

 

บทความอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

ยารักษาโรคกระเพาะ รักษาอาการปวดท้องเหตุจากโรคกระเพาะอาหาร

ไข้หวัดนกมีอาการเป็นอย่างไร โรคไข้หวัดนกเกิดมาจากสาเหตุอะไร มีวิธีรักษาไหม

โรคหอบหืด โรคที่เกี่ยวกับระบบหายใจ อย่าปล่อยไว้ อันตรายถึงชีวิต!

 

ขอขอบคุณข้อมูลจาก : 1 , 2

บทความโดย

Kittipong Phakklang