ทารกท่าขวาง ต้องผ่าคลอดไหม ทำยังไงให้ลูกกลับหัว

ในระหว่างตั้งครรภ์ ทารกจะเคลื่อนไหวไปรอบ ๆ หรือในท่าต่าง ๆ แต่ส่วนใหญ่จะอยู่ในท่าศีรษะลง ใบหน้าลง (Cephalic Occiput Anterior) ซึ่งเป็นท่าที่เหมาะสมที่สุดในช่วงสัปดาห์สุดท้ายของการตั้งครรภ์ เมื่อทารกไม่อยู่ในท่านี้สำหรับการคลอด บริเวณช่องคลอด เรียกว่า ทารกผิดท่า หรือ ทารกท่าขวาง วันนี้เราจึงขอนำพาคุณแม่ ๆ ที่กำลังเป็นกังวลมาทำความรู้จักกับทารกท่าขวาง และวิธีการรับมือสถานการณ์นี้กันค่ะ 

 

ทารกท่าขวาง (Transverse lie baby)

ทารกท่าขวาง คือ ภาวะที่ทารกในครรภ์วางตัวอยู่ในท่าทางที่นอนตะแคงข้าง ซึ่งไม่เป็นตามปกติที่ทารกจะต้องวางตัวในท่านอนตะแคงเพื่อเตรียมตัวสำหรับการคลอด เมื่อทารกอยู่ในท่าขวาง ลำตัวของทารกจะตั้งอยู่แนวนอนตามแนวแกนตัวแม่ขณะที่ทารกปกติจะตั้งอยู่ในภาวะนอนตะแคงหรือเตรียมตัวหันหัวมายังปากมดลูกเพื่อเตรียมตัวสำหรับการคลอดอย่างเหมาะสมและปลอดภัยที่สุด ดังนั้นการวางตัวของทารกในทารกท่าขวางอาจทำให้เกิดกระบวนการคลอดบุตรนั้นแตกต่างออกไป เนื่องจากทารกไม่ได้อยู่ในท่าทางที่เหมาะสมสำหรับการคลอดเป็นปกตินั่นเอง

ท่าขวางเป็นหนึ่งในท่าที่พบได้น้อยที่สุดและผู้เชี่ยวชาญด้านการตั้งครรภ์ได้กล่าวไว้ว่า “ท่าขวางเป็นเรื่องปกติในไตรมาสแรก พบได้ทั่วไปในไตรมาสที่สอง แต่ผิดปกติในไตรมาสที่สาม และไม่ใช่ท่าที่สามารถคลอดช่องคลอดได้”

บทความที่น่าสนใจ:  การตรวจสุขภาพทารกในครรภ์ คืออะไร จำเป็นต่อแม่ท้องมากน้อยแค่ไหน ?

สาเหตุของทารกอยู่ในท่าขวาง 

บ่อยครั้งที่สาเหตุที่แน่ชัดของทารกอยู่ในท่าขวางนั้นไม่สามารถระบุได้ แต่ปัจจัยเสี่ยงที่พบบ่อยสำหรับทารกอยู่ในท่าขวางปลายท้อง (term) คือ ปริมาณน้ำคร่ำมากเกินไป มักถูกพบร่วมกับโรคเบาหวาน แต่มักไม่แสดงอาการ รวมถึงการตั้งครรภ์แฝด นอกจากนี้ยังสามารถเกิดได้จากสาเหตุอื่น ๆ ดังนี้

  • เคยคลอดลูกมาแล้วหลายคน กล้ามหน้าท้องอาจหย่อน
  • คลอดก่อนกำหนด
  • ปริมาณน้ำคร่ำน้อย
  • รกเกาะต่ำ รกปิดปากมดลูก
  • ความผิดปกติของอุ้งเชิงกราน มดลูก หรือทารก มักพบได้บ่อยในคนที่ตั้งครรภ์เป็นครั้งแรก

 

ทารกท่าขวาง

 

ความเสี่ยงของทารกท่าขวาง

ทารกท่าขวาง หมายถึง ทารกอยู่ในครรภ์โดยที่ศีรษะไม่ได้อยู่ด้านล่างตรงช่องคลอด ซึ่งปกติแล้ว ทารกจะเริ่มหมุนศีรษะลงล่างประมาณ 32-34 สัปดาห์ของการตั้งครรภ์ ทารกท่าขวางพบได้ประมาณ 4% ของการตั้งครรภ์ทั้งหมด แม้จะไม่ใช่ภาวะที่พบบ่อย แต่ก็มีความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นได้ดังนี้

การคลอดที่ยากลำบาก

  • การคลอดโดยธรรมชาติ: ทารกท่าขวางอาจทำให้การคลอดโดยธรรมชาติเป็นไปได้ยากขึ้น เนื่องจากศีรษะของทารกเป็นส่วนที่ใหญ่ที่สุด หากไม่ได้อยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสม อาจทำให้การผ่านช่องคลอดเป็นไปได้ยาก ส่งผลให้ต้องใช้เวลาในการคลอดนานขึ้น เพิ่มความเสี่ยงต่อการใช้เครื่องมือช่วยคลอด หรืออาจจำเป็นต้องผ่าตัดคลอด
  • การผ่าตัดคลอด: ทารกท่าขวางเป็นสาเหตุหนึ่งที่พบบ่อยของการผ่าตัดคลอด โดยเฉพาะในทารกตัวใหญ่ ทารกแรกคลอด หรือกรณีที่มีภาวะแทรกซ้อนอื่นๆ ร่วมด้วย

การบาดเจ็บของทารก

  • การขาดออกซิเจน: ทารกท่าขวางอาจมีโอกาสเสี่ยงต่อการขาดออกซิเจนระหว่างคลอดได้มากกว่าปกติ เนื่องจากการคลอดอาจใช้เวลานาน หรืออาจเกิดภาวะแทรกซ้อนอื่นๆ ร่วมด้วย
  • การบาดเจ็บที่ไหล่: ทารกท่าขวาง โดยเฉพาะทารกตัวใหญ่ อาจมีโอกาสเสี่ยงต่อการบาดเจ็บที่ไหล่ระหว่างคลอดได้ ซึ่งอาจส่งผลต่อการเคลื่อนไหวของแขนในภายหลัง

การบาดเจ็บของคุณแม่

  • การฉีกขาดช่องคลอด: ทารกท่าขวางอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการฉีกขาดช่องคลอดระหว่างคลอด โดยเฉพาะหากเป็นการคลอดโดยธรรมชาติ และอาจต้องเย็บซ่อมแซมหลังคลอด
  • การตกเลือดหลังคลอด: ทารกท่าขวางอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการตกเลือดหลังคลอด เนื่องจากอาจทำให้มีการฉีกขาดของเนื้อเยื่อภายในช่องคลอดและมดลูกมากกว่าปกติ

นอกจากความเสี่ยงที่กล่าวมาข้างต้นแล้ว ทารกท่าขวางยังอาจส่งผลต่อสุขภาพจิตของคุณแม่อีกด้วย เนื่องจากจะก่อให้เกิดความกังวล ความเครียด และความวิตกกังวล โดยเฉพาะในคุณแม่ที่ตั้งครรภ์เป็นครั้งแรก

อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญคือต้องทราบว่า ทารกส่วนใหญ่ที่อยู่ในท่าขวาง สามารถคลอดได้โดยธรรมชาติ แพทย์จะประเมินความเสี่ยงเป็นรายบุคคล และแนะนำแนวทางปฏิบัติที่เหมาะสม ซึ่งอาจรวมถึงการติดตามการตั้งครรภ์อย่างใกล้ชิด การออกกำลังกาย หรือการกระตุ้นภายนอก สำหรับคุณแม่ที่มีความกังวลเกี่ยวกับทารกท่าขวาง ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญสูติกรรม เพื่อรับคำแนะนำ การวินิจฉัย และแนวทางการรักษาที่เหมาะสม

บทความที่น่าสนใจ:  ตั้งครรภ์ 37 สัปดาห์ อาการคนท้อง และพัฒนาการของทารกในครรภ์

 

ความเสี่ยงของทารกท่าขวาง

 

วิธีลดความเสี่ยงของทารกท่าขวาง

แม้ว่าทารกส่วนใหญ่จะหมุนศีรษะลงล่างในช่วงท้ายของการตั้งครรภ์ แต่ก็มีทารกจำนวนไม่น้อยที่อยู่ในท่าขวาง ซึ่งอาจสร้างความกังวลให้กับคุณแม่ อย่างไรก็ตาม ยังมีวิธีการต่าง ๆ ที่สามารถช่วยลดความเสี่ยงของทารกท่าขวาง ดังนี้

  • การออกกำลังกาย

การออกกำลังกายเป็นประจำ โดยเฉพาะการออกกำลังกายแบบแอโรบิค เช่น การเดินเร็ว ว่ายน้ำ หรือการเต้นแอโรบิค อาจช่วยเพิ่มโอกาสที่ทารกจะหมุนศีรษะลงล่าง โดยควรออกกำลังกายอย่างน้อย 30 นาที 3-5 วันต่อสัปดาห์ ทั้งนี้ ควรปรึกษาแพทย์ก่อนเริ่มโปรแกรมการออกกำลังกายใด ๆ

  • ท่าทางการนอน

การนอนตะแคงซ้ายเป็นเวลานาน ๆ โดยเฉพาะในช่วงไตรมาสสุดท้ายของการตั้งครรภ์ อาจช่วยเพิ่มโอกาสที่ทารกจะหมุนศีรษะลงล่าง เนื่องจากเป็นการเพิ่มพื้นที่ในช่องท้อง ช่วยให้ทารกขยับตัวได้สะดวก ทั้งนี้ ควรใช้หมอนรองรับบริเวณสะโพกและเข่าเพื่อเพิ่มความสบาย

  • การฝังเข็ม

การฝังเข็มเป็นวิธีการแพทย์แผนจีนโบราณที่เชื่อกันว่าช่วยกระตุ้นให้ทารกหมุนศีรษะลงล่าง โดยผู้เชี่ยวชาญจะทำการฝังเข็มบริเวณจุดต่างๆ บนร่างกาย ซึ่งอาจช่วยเพิ่มการไหลเวียนโลหิต ลดความตึงเครียด และส่งผลดีต่อทารกในครรภ์ ทั้งนี้ ควรปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญด้านการฝังเข็มที่มีคุณสมบัติเหมาะสม

  • การกระตุ้นภายนอก

ในบางกรณี แพทย์อาจใช้วิธีการกระตุ้นภายนอกเพื่อช่วยให้ทารกหมุนศีรษะลงล่าง โดยวิธีนี้มักใช้ในช่วงใกล้คลอด ประมาณ 38-39 สัปดาห์ แพทย์จะใช้วิธีการนวดท้อง หรือใช้เครื่องอัลตราซาวด์ กระตุ้นให้ทารกขยับตัว ทั้งนี้ การกระตุ้นภายนอกควรทำโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น

  • การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม

    • หลีกเลี่ยงการนั่งนานๆ ควรลุกขึ้นยืนและเปลี่ยนอิริยาบถบ่อยๆ
    • ดื่มน้ำให้เพียงพอ อย่างน้อยวันละ 8 แก้ว
    • รับประทานอาหารที่มีกากใยสูง เพื่อช่วยให้ระบบขับถ่ายทำงานเป็นปกติ
    • ควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม
    • บริหารจัดการความเครียด โดยการฝึกหายใจ การนั่งสมาธิ หรือการทำกิจกรรมที่ผ่อนคลาย

ทั้งนี้ สิ่งสำคัญคือต้องปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญสูติกรรม เพื่อรับคำแนะนำ การวินิจฉัย และแนวทางการรักษาที่เหมาะสม แพทย์จะประเมินความเสี่ยงเป็นรายบุคคล พิจารณาจากปัจจัยต่าง ๆ เช่น อายุครรภ์ ขนาดทารก น้ำคร่ำ และประวัติการตั้งครรภ์

บทความที่น่าสนใจ: แม่รู้ไหม!!ยอดมดลูกบ่งบอกขนาดทารกในครรภ์

 

วิธีลดความเสี่ยงของทารกท่าขวาง

 

ความเสี่ยงของการคลอดธรรมชาติและผ่าคลอดสำหรับทารกท่าขวาง

การคลอดธรรมชาติ

การคลอดธรรมชาติทารกท่าขวางนั้นมีความเสี่ยงมากกว่าการคลอดทารกท่าปกติ โดยทั่วไปแล้ว ความเสี่ยงเหล่านี้อาจรวมถึง

  • การคลอดติดขัด: หมายถึง ทารกไม่สามารถคลอดออกมาได้เองตามธรรมชาติ อาจจำเป็นต้องใช้เครื่องมือหรือการผ่าตัดเพื่อช่วยคลอด
  • การบาดเจ็บที่ทารก: ทารกอาจได้รับบาดเจ็บระหว่างคลอด เช่น กระดูกหัก หรือการบาดเจ็บที่สมอง
  • การเสียชีวิตของทารก: แม้จะไม่พบบ่อย แต่การคลอดธรรมชาติทารกท่าขวางก็มีความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตของทารกมากกว่าการคลอดท่าปกติ
  • การเสียเลือดหลังคลอด: คุณแม่มีโอกาสเสียเลือดมากหลังคลอด
  • การติดเชื้อ: คุณแม่มีโอกาสติดเชื้อหลังคลอดมากขึ้น
  • การผ่าคลอดฉุกเฉิน: ในบางกรณี การคลอดธรรมชาติทารกท่าขวางอาจนำไปสู่การผ่าคลอดฉุกเฉิน

การผ่าคลอด

การผ่าคลอดสำหรับทารกท่าขวางนั้นมีความเสี่ยงมากกว่าการคลอดธรรมชาติสำหรับทารกท่าปกติ โดยทั่วไปแล้ว ความเสี่ยงเหล่านี้อาจรวมถึง

  • การติดเชื้อ: คุณแม่มีโอกาสติดเชื้อหลังคลอดมากขึ้น
  • การเสียเลือด: คุณแม่มีโอกาสเสียเลือดมากหลังคลอด
  • ความเจ็บปวด: คุณแม่จะรู้สึกเจ็บปวดหลังผ่าตัด
  • ภาวะแทรกซ้อนจากการดมยาสลบ: อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนจากการดมยาสลบ เช่น คลื่นไส้ อาเจียน หรือหายใจลำบาก
  • แผลเป็น: คุณแม่จะมีแผลเป็นจากการผ่าตัด
  • การผูกพันระหว่างแม่กับลูก: การผ่าคลอดอาจส่งผลต่อการผูกพันระหว่างแม่กับลูก
  • ปัญหาการให้นมลูก: คุณแม่ให้นมลูกได้ยากขึ้นหลังผ่าคลอด
  • การผ่าตัดซ้ำ: คุณแม่มีโอกาสต้องผ่าคลอดซ้ำในครั้งถัดไป

 

ทารกท่าขวาง จำเป็นต้องผ่าคลอดไหม

 

ทารกท่าขวาง จำเป็นต้องผ่าคลอดไหม

ทารกท่าขวาง อาจจำเป็นต้องผ่าคลอด แต่ไม่เสมอไป ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง ดังนี้

  • ระยะเวลาการตั้งครรภ์: ทารกมักจะอยู่ในท่าศีรษะลง (Cephalic) ในช่วงปลายของไตรมาสที่ 3 แต่บางครั้งทารกอาจจะหมุนตัวกลับมาอยู่ในท่าขวาง (Transverse) หรือท่าก้น (Breech) ในกรณีนี้ แพทย์อาจจะพยายามหมุนทารกกลับมาอยู่ในท่าศีรษะลงด้วยวิธีการต่าง ๆ เช่น การนวดท้อง หรือการใช้เทคนิคทางการแพทย์
  • สุขภาพของแม่และทารก: หากสุขภาพของแม่หรือทารกแข็งแรงดี แพทย์อาจจะรอให้ทารกหมุนตัวกลับมาเอง หรืออาจจะลองคลอดธรรมชาติ แต่หากมีความเสี่ยงต่อสุขภาพ เช่น ทารกตัวใหญ่ หรือแม่มีโรคประจำตัว แพทย์อาจจะแนะนำให้ผ่าคลอด
  • ประวัติการคลอด: หากเคยผ่าคลอดมาก่อน หรือเคยคลอดก่อนกำหนด แพทย์มักจะแนะนำให้ผ่าคลอดมากกว่าคลอดธรรมชาติ

โดยสรุป แพทย์จะเป็นผู้พิจารณาว่าทารกท่าขวางจำเป็นต้องผ่าคลอดหรือไม่ ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง คุณแม่ควรปรึกษาแพทย์ผู้ดูแลอย่างใกล้ชิด เพื่อรับคำแนะนำและการรักษาที่เหมาะสม

 

ที่มา: haamor.com, spinningbabies.com, parents.com

บทความอื่น ๆ ที่น่าสนใจ:

15 คำถามที่พบบ่อยเรื่องผ่าคลอด เรื่องน่ารู้ก่อนเป็นคุณแม่

ผ่าคลอดท้องไม่ยุบ ทำอย่างไรให้ร่างกายกลับมาฟิตเปรี๊ยะ

ผ่าคลอดกี่วันถึงจะขับรถได้ คำแนะนำสำหรับคุณแม่มือใหม่

มีข้อสงสัยเรื่องการตั้งครรภ์ หรือมีคำถามเรื่องการเลี้ยงลูกหรือเปล่าคะ? ติดตามอ่านบทความ หรือสอบถามสิ่งที่คุณอยากรู้ผ่านแอปของเราได้เลย ดาวน์โหลด theAsianparent แอปพลิเคชัน ทั้ง IOS และ Android ได้แล้ววันนี้!