สังคังมีอาการเป็นอย่างไร สังคังเกิดมาจากอะไร สังคังมักจะเกิดบริเวณไหนบ้าง

Loading...
You got lucky! We have no ad to show to you!
ติดต่อโฆษณา

สังคัง มีอาการอย่างไร สังคังสามารถรักษาได้หรือไม่ สังคังเกิดขึ้นจากอะไร สามารถเกิดในช่วงอายุไหนได้บ้าง มาดูกัน

 

อาการคันจ๊อค (เกลื้อน cruris) คือการติดเชื้อราที่ทำให้เกิดผื่นแดงและคันในบริเวณที่อบอุ่นและชื้นของร่างกาย ผื่นมักจะส่งผลต่อขาหนีบและต้นขาด้านในและอาจมีรูปร่างเหมือนวงแหวน

Jock itch ได้ชื่อมาเพราะเป็นเรื่องปกติในนักกีฬา นอกจากนี้ยังพบได้บ่อยในผู้ที่มีเหงื่อออกมากหรือมีน้ำหนักเกิน

แม้ว่ามักจะรู้สึกไม่สบายใจและน่ารำคาญ แต่อาการคันจ๊อคมักไม่ร้ายแรง การรักษาอาจรวมถึงการรักษาบริเวณขาหนีบให้สะอาดและแห้ง และการใช้ยาต้านเชื้อราเฉพาะที่กับผิวหนังที่ได้รับผลกระทบ

 

Loading...
You got lucky! We have no ad to show to you!
ติดต่อโฆษณา

ขอขอบคุณวีดีโอจาก : https://www.youtube.com , Mahidol Channel มหิดล แชนแนล

 

สังคังคืออะไร-

สังคัง (Tinea Cruris) เป็นโรคติดเชื้อราบนผิวหนังที่ทำให้เกิดผื่นแดงอักเสบ เป็นขุย มีอาการคันตามผิวหนัง มักจะเกิดบริเวณขาหนีบ อวัยวะเพศ ต้นขาด้านใน ก้น หรือผิวหนังที่มีความอับชื้นสูง พบบ่อยในเพศชายวัยรุ่นหรือวัยผู้ใหญ่ แต่ก็สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกเพศทุกวัย โดยการรักษาส่วนใหญ่จะใช้ยาต้านเชื้อราที่หาซื้อได้ตามร้านขายยา

 

Loading...
You got lucky! We have no ad to show to you!
ติดต่อโฆษณา

อาการของสังคัง-

ผิวหนังบริเวณที่เกิดการติดเชื้อจะเป็นผื่นแดง มีขอบของผื่นนูนชัด อาจเป็นแผ่นหรือเป็นวง บางรายผิวอาจลอก แตก หรือเป็นขุย มักเกิดที่ขาหนีบ ต้นขาด้านใน หรือลามไปยังผิวหนังใกล้เคียง เช่น หน้าท้อง หัวหน่าว และก้น แต่ไม่ค่อยลามไปยังถุงอัณฑะ โดยผื่นจะกระจายตัวเป็นลักษณะวงกลมหรือพระจันทร์เสี้ยว ผู้ป่วยจะรู้สึกคันตลอดเวลาและแสบร้อน สีของผิวหนังอาจเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม อาการของโรคจะรุนแรงขึ้นหากออกกำลังกายหรือทำกิจกรรมที่ก่อให้เกิดเหงื่อและความอับชื้น

อย่างไรก็ตาม ลักษณะของผื่นจากโรคสังคังอาจมีลักษณะคล้ายคลึงกับโรคผิวหนังอื่น ๆ เช่น การติดเชื้อราในช่องคลอด โรคสะเก็ดเงิน โรคเซบเดิร์มหรือต่อมไขมันอักเสบ ผื่นผิวหนังอักเสบจากการติดเชื้อแบคทีเรีย (Erythrasma) เป็นต้น หากผื่นดังกล่าวไม่ดีขึ้นภายใน 2 สัปดาห์หรือรักษาด้วยยาต้านเชื้อราตามร้านขายยาแล้วกลับมาเป็นซ้ำในเวลาไม่กี่สัปดาห์ ผู้ป่วยควรไปพบแพทย์ เพื่อตรวจหาสาเหตุอย่างละเอียด

 

สาเหตุของสังคัง-

สังคังเกิดจากการติดเชื้อราในกลุ่มเดอมาโทไฟท์ (Dermatophytes) เช่นเดียวกับโรคกลาก ซึ่งเชื้อเหล่านี้ปกติจะอาศัยอยู่บนผิวหนัง เล็บ และเส้นผมของมนุษย์ โดยไม่เกิดอันตรายใด ๆ แต่เมื่อผิวหนังสัมผัสกับความชื้นสูงบ่อย ๆ เชื้อราจะเจริญเติบโตได้ดีจนทำให้เกิดการติดเชื้อราตามมาได้ โดยเฉพาะผิวบริเวณที่อับชื้นและมีอุณหภูมิสูง อีกทั้งการติดเชื้อราอาจลุกลามไปยังผิวหนังบริเวณใกล้เคียงหรือแพร่กระจายสู่ผู้อื่นได้ง่ายด้วย

โดยสาเหตุหลักของการเกิดสังคังมาจากการสวมใส่เสื้อผ้าเปียกชื้น ไม่สะอาด หรือผิวหนังสัมผัสกับความชื้นเป็นเวลานานจนเชื้อราเติบโตอย่างรวดเร็ว และผู้ป่วยมักติดเชื้อบริเวณขาหนีบ ต้นขาด้านใน ก้น มือหรือเท้า

นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยบางประการที่ทำให้เสี่ยงต่อการติดเชื้อราได้ง่าย ดังนี้

Loading...
You got lucky! We have no ad to show to you!
ติดต่อโฆษณา
  • เป็นนักกีฬาที่มีเหงื่อออกมากและผิวหนังอับชื้นหมักหมมเป็นเวลานาน
  • เป็นผู้ชาย หรือผู้ที่อยู่ในช่วงวัยรุ่นและวัยผู้ใหญ่
  • ไม่รักษาสุขอนามัยของร่างกาย ไม่ค่อยอาบน้ำหรือเปลี่ยนเสื้อผ้าและชุดชั้นในใหม่ โดยเฉพาะหลังจากเล่นกีฬาหรือทำงานหนักจนมีเหงื่อออกมาก
  • มีปัญหาสุขภาพบางอย่าง เช่น ระบบภูมิคุ้มกันผิดปกติ ภาวะเหงื่อออกมาก น้ำหนักเกิน โรคอ้วน โรคเบาหวาน หรือโรคที่ทำให้เกิดเหงื่อและแรงเสียดสีมากกว่าคนปกติ เป็นต้น
  • ชอบสวมใส่เสื้อผ้าที่รัดแน่น หรือสวมเสื้อผ้าสกปรกซ้ำหลายครั้ง
  • สัมผัสเสื้อผ้าที่มีเชื้อราโดยตรง หรือใช้สิ่งของที่ติดเชื้อราร่วมกับผู้อื่น เช่น ชุดชั้นใน ชุดกีฬา ผ้าเช็ดตัว หวี กรรไกรตัดเล็บ เป็นต้น

 

การรักษาสังคัง-

การรักษาดูแลอาการด้วยตนเอง โรคสังคังส่วนใหญ่รักษาด้วยการทายาต้านเชื้อรา ผู้ป่วยที่มีอาการไม่รุนแรงมักไม่ต้องเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล แต่สามารถหาซื้อยาทาได้เองจากร้านขายยา และควรดูแลตนเองตามคำแนะนำ ดังนี้

  • ทายาต้านเชื้อราตามคำสั่งแพทย์หรือเภสัชกรอย่างสม่ำเสมอ
  • ดูแลรักษาความสะอาดบริเวณที่ติดเชื้อ ควรให้ผิวหนังแห้งสนิทอยู่เสมอ ไม่ปล่อยให้ผิวเปียกชื้น
  • เปลี่ยนเสื้อผ้าและชุดชั้นในทุกวัน
  • เลือกสวมเสื้อผ้าที่มีเนื้อผ้าระบายอากาศได้ดี โปร่งสบาย ไม่รัดแน่นจนเกินไป
  • รักษาอาการป่วยติดเชื้อราประเภทอื่น ๆ ให้หายขาด เช่น โรคน้ำกัดเท้า เป็นต้น

สำหรับผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรงหรือไม่หายขาด ควรไปพบแพทย์เพื่อรับการตรวจรักษาอย่างเหมาะสมต่อไป ซึ่งอาการจะค่อย ๆ ดีขึ้นจนหายเป็นปกติ แต่หากอาการไม่ดีขึ้นภายใน 1 เดือน ผู้ป่วยควรกลับไปพบแพทย์อีกครั้ง

การรักษาด้วยยา แพทย์อาจแนะนำให้ใช้ยารักษาซึ่งแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ดังนี้

  • ยาทาผิวหนัง มีอยู่หลายรูปแบบ ทั้งครีม โลชั่น หรือสเปรย์ แพทย์มักแนะนำให้ทายาวันละ 2 ครั้ง ติดต่อกันอย่างน้อย 2-4 สัปดาห์ ผู้ป่วยควรอ่านฉลากยาและปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด หากมีข้อสงสัยควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกร โดยมีตัวอย่างยาทาผิวหนังเพื่อต้านเชื้อรา เช่น ยาไมโคนาโซล ยาอีโคนาโซล ยาคีโตโคนาโซล ยาโคลไตรมาโซล ยาเทอร์บินาฟีน ยาแนฟทิไฟน์ ยาอันดีไซลินิกแอซิด เป็นต้น
  • ยารับประทาน ใช้ในกรณีที่ผู้ป่วยติดเชื้อราเป็นบริเวณกว้าง เป็นอย่างเรื้อรัง หรือไม่ตอบสนองต่อยาทา โดยต้องให้แพทย์เป็นผู้สั่งจ่ายยาให้ เนื่องจากเป็นยาที่มีผลข้างเคียงและใช้ระยะเวลาในการรักษาแตกต่างกัน โดยมีตัวอย่างยารับประทานเพื่อต้านเชื้อรา เช่น ยาคีโตโคนาโซล ไอทราโคนาโซล และกริซีโอฟูลวิน เป็นต้น นอกจากนี้ หากเกิดการติดเชื้อแบคทีเรียด้วย แพทย์อาจต้องปรับยาต้านเชื้อราและให้ยาปฏิชีวนะเพิ่มเติม ดังนั้น หากสังเกตพบรอยผื่นมีของเหลวไหลออกมา ผู้ป่วยควรรีบไปพบแพทย์อีกครั้ง เพราะเป็นสัญญาณของการติดเชื้อแบคทีเรียที่ควรได้รับการรักษา

 

การป้องกัน

ลดความเสี่ยงของจ๊อคคันโดยทำตามขั้นตอนเหล่านี้:

  • อยู่ให้แห้ง ทำให้บริเวณขาหนีบของคุณแห้ง เช็ดบริเวณอวัยวะเพศและต้นขาด้านในให้แห้งด้วยผ้าขนหนูสะอาดหลังอาบน้ำหรือออกกำลังกาย เช็ดเท้าให้แห้งเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เชื้อราที่เท้าของนักกีฬาแพร่กระจายไปที่ขาหนีบ
  • สวมเสื้อผ้าที่สะอาด เปลี่ยนชุดชั้นในอย่างน้อยวันละครั้งหรือบ่อยกว่านั้นถ้าคุณมีเหงื่อออกมาก ช่วยสวมใส่ชุดชั้นในที่ทำจากผ้าฝ้ายหรือผ้าอื่นๆ ที่ระบายอากาศได้และช่วยให้ผิวหนังแห้ง ซักชุดออกกำลังกายหลังใช้งานทุกครั้ง
  • ค้นหาความพอดี ตรวจสอบให้แน่ใจว่าเสื้อผ้าของคุณพอดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งชุดชั้นใน กางเกงกีฬา และชุดกีฬา หลีกเลี่ยงเสื้อผ้ารัดรูปซึ่งสามารถถูและทำให้ผิวของคุณเสียดสีและทำให้คุณเสี่ยงที่จะมีอาการคันมากขึ้น ลองใส่กางเกงบ็อกเซอร์มากกว่ากางเกงใน
  • อย่าแบ่งปันของใช้ส่วนตัว อย่าให้คนอื่นใช้เสื้อผ้า ผ้าเช็ดตัว หรือของใช้ส่วนตัวอื่นๆ ของคุณ อย่ายืมของดังกล่าวจากผู้อื่น
  • รักษาหรือป้องกันเท้าของนักกีฬา ควบคุมการติดเชื้อที่เท้าของนักกีฬาเพื่อป้องกันการแพร่กระจายไปที่ขาหนีบ หากคุณใช้เวลาในที่สาธารณะที่มีความชื้นสูง เช่น การอาบน้ำในยิม การสวมรองเท้าแตะจะช่วยป้องกันเท้าของนักกีฬาได้

 

บทความอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

“โรคตุ่มน้ำพอง หรือ โรคเพมฟิกอยด์” อาการเป็นอย่างไร พร้อมวิธีป้องกันและดูแลรักษา

โรคไตอักเสบ อาการเป็นอย่างไร โรคอันตรายที่ไม่ควรมองข้าม

อาการต้อกระจกเป็นอย่างไร โรคต้อกระจกคืออะไร รวมความรู้เกี่ยวกับโรคต้อกระจก

 

Loading...
You got lucky! We have no ad to show to you!
ติดต่อโฆษณา

ขอขอบคุณข้อมูลจาก : mayoclinic

บทความโดย

Kittipong Phakklang