สิ่งต่อไปนี้เป็นการอธิบายคร่าว ๆ เกี่ยวกับบทสนทนาที่ควรพูดคุยเฉพาะในหมู่ผู้ใหญ่ด้วยกัน
การก่อการร้ายและหายนะต่าง ๆ
ผู้ใหญ่ไม่ควรพูดคุยเกี่ยวกับการก่อการร้ายหรือความรุนแรงที่เกิดขึ้นให้เด็กเล็ก ๆ รับรู้ (เด็กที่อายุต่ำกว่า 10 ขวบ) ลองถามตัวคุณดูว่าลูกคุณจะทำอะไรได้ในสถานการณ์เช่นนั้น? การที่เขารู้ว่าเกิดอะไรขึ้นจะทำให้อะไรดีขึ้นหรือไม่? ไม่เลย! การที่เขาต้องรับรู้สิ่งเหล่านี้ยิ่งจะทำให้เขากลัวและอาจก่อให้เกิดความวิตกกังวลขึ้น
เด็กอายุมากกว่า 10 ขวบอาจจะได้ยินจากข่าวหรือจากสิ่งที่คนอื่นพูดคุยเกี่ยวกับเหตุการณ์นั้น ๆ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ คุณควรเป็นคนบอกหรืออธิบายให้เขาฟังและตอบคำถามที่เขาอาจมีด้วยตัวคุณเอง
ปัญหาด้านการเงินของครอบครัว
การตกงาน ปัญหาการจำนองที่ดิน ปัญหาหนี้สินบัตรเครดิต คุณไม่ควรพูดคุยเรื่องเหล่านี้ต่อหน้าลูกเนื่องจากพวกเขาไม่ได้เป็นคนก่อปัญหาขึ้นมา นอกจากนี้ การที่ต้องได้ยินเรื่องพวกนี้จะทำให้พวกเขารู้สึกไม่มั่นคงและเกิดความกลัว ในจิตใจของเด็กจะคิดถึงสถานการณ์ที่แย่ที่สุด ซึ่งจะทำให้เกิดความวิตกกังวล ไม่มีสมาธิ และจะแสดงพฤติกรรมก้าวร้าวหรือรู้สึกถดถอยอย่างแรง
หากต้องมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ คุณควรตัดสินใจว่าคุณจะเลือกทางเลือกใดก่อนที่จะบอกให้ลูกทราบ จากนั้น แจ้งให้ลูกทราบในเชิงบวกให้มากเท่าที่จะทำได้ และให้ความมั่นใจแก่ลูกว่าแม้อาจมีการเปลี่ยนแปลง แต่การอยู่ด้วยกันเป็นครอบครัวและให้ความรักแก่กันจะยังคงอยู่เหมือนเดิม หากคุณมีลูกที่เป็นวัยรุ่น คุณอาจขอความช่วยเหลือจากลูก เช่น ให้ลูกทำงานวันเสาร์-อาทิตย์ หรือลดค่าใช้จ่ายอื่น ๆ เช่น ค่าโทรศัพท์ลง
ลูกบุกห้องนอนคุณ
หากลูกคุณเกิดบุกห้องนอนโดยที่คุณไม่ทันตั้งตัวและไม่ใช่เวลาที่เหมาะสม คุณไม่จำเป็นต้องให้เหตุผลอื่นนอกจากบอกว่า “พ่อกำลังจั๊กกะจี้แม่อยู่” หรือ “พ่อกับแม่กำลังเล่นเกมผู้ใหญ่อยู่”
สำหรับเด็กที่โตแล้วและเหมือนจะรู้ว่าคุณกำลังทำอะไรอยู่ คุณอาจหาข้อแก้ตัวง่าย ๆ หรือบอกเขาว่าไว้ค่อยคุยกันทีหลัง นั่นก็เพียงพอแล้ว
ฟุตบอล (หรืออะไรก็ตาม) ที่ไม่ใช่สิ่งที่คุณชอบหรือถนัด
ปกติแล้ว เด็กจะมีความรู้สึกกดดันในเรื่องความเป็นเลิศด้านกีฬาจากสังคมรอบตัว เพื่อนรุ่นเดียวกัน หรือแม้กระทั่งจากคุณเองพอสมควร แต่เราควรยอมรับความจริงที่ว่า ไม่ใช่เด็กทุกคนจะเกิดมาเป็นนักกีฬา ลูกคุณบางคนอาจเล่นกีฬาเก่ง แต่เด็กจำนวนมากเล่นไม่เก่งเท่าเด็กคนอื่น ดังนั้น ในฐานะที่เป็นพ่อหรือแม่ คุณไม่ต้องการให้ลูกรู้สึกอายในสนามกีฬา คุณไม่ต้องการให้ใครซุบซิบนินทาว่าลูกของคุณยิงบอลไม่เข้าประตูหรือยิงเข้าประตูตัวเอง
หากลูกคุณไม่เก่งในการทำกิจกรรมนั้น ๆ เลย คุณควรดูว่าเขารู้สึกอย่างไรกับสิ่งที่เขากำลังทำอยู่ หากเขาไม่ชอบ ควรเลิกทำกิจกรรมนั้นและพาเขาทำกิจกรรมอื่นแทน
หากลูกคุณไม่มีความสุขและดูเหมือนจะไม่มีความสามารถในด้านนั้น ๆ คุณอาจปล่อยให้เขาทำไปและหวังว่าเขาจะเหนื่อยกับกิจกรรมนั้นไปเอง หรืออาจพัฒนาทักษะของเขาขึ้น หรือคุณอาจช่วยเขาฝึกทักษะโดยร่วมทำกิจกรรมกับเขาด้วยตัวคุณเอง ขอร้องให้เด็กวัยรุ่นคนอื่น สมาชิกในครอบครัว หรือเพื่อน ๆ ของเขาช่วย
คุณควรให้ลูกรู้ว่าลูกได้คะแนนความพยายามเต็มที่ แต่ต้องพัฒนาทักษะและฝีมือมากขึ้น การทำให้ลูกรู้สึกถึงความล้มเหลวเป็นเรื่องที่ผิดมหันต์เช่นเดียวกับการบอกเขาว่าเขาไม่มีหวังในกิจกรรมนั้น ๆ “น้องต้นฝึกหนักมากวันนี้ พ่อกับแม่ภูมิใจในตัวลูกมาก แต่เวลาลูกอยู่นอกสนามแข่ง ลูกต้องดูว่าเกมเป็นยังไงและต้องพร้อมที่จะเล่น สมาชิกที่ดีของทีม ต้องไม่เพียงแค่นั่งดูอยู่ข้างสนามและเขี่ยดินเล่นเฉย ๆ”
จำไว้ว่าคุณกำลังคุยอยู่กับใคร
เด็กจะพูดอะไรง่าย ๆ และตรงตามความหมายในสิ่งที่เขาพูด นั่นแสดงให้เห็นว่าคุณพูดกับเขาให้ตรงตามความหมาย เข้าใจง่าย และไร้เดียงสาให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้