แพ้น้ำอสุจิ โรคภูมิแพ้ที่ผู้หญิงไม่อยากเป็น แล้วมีลูกได้ไหม

แพ้น้ำอสุจิ หรือโรคภูมิแพ้น้ำอสุจิ ปัญหาที่ผู้หญิงไม่อยากให้เกิดขึ้นกับคู่ของตัวเอง แน่นอนว่ากิจกรรมร่วมรักของคุณต้องสะดุดลงทันที ทราบหรือไม่ว่า โรคแพ้น้ำอสุจิ ไม่ใช่โรคใหม่หรือโรคประหลาด แต่กลับพบในผู้หญิงจำนวนไม่น้อย ซึ่งบางคนแสดงอาการและไม่แสดงอาการ สงสัยกันใช่ไหมล่ะ? ว่าถ้าร่วมรักกับสามีแล้วเกิดแพ้น้ำอสุจิขึ้นมาจะแก้ปัญหาอย่างไร แล้วสามารถมีลูกได้หรือไม่

แพ้น้ำอสุจิ มีสาเหตุมาจากอะไร และพบมากในผู้หญิงหรือผู้ชาย

โรคภูมิแพ้น้ำอสุจิ นั้นไม่ใช่โรคร้ายแรงแต่ก็ไม่มีสาวๆ คนไหนอยากเป็นแน่นอน เพราะไม่สามารถมีเพศสัมพันธ์กับคนรักได้อย่างปกติ ต้องคอยระวังร่างกายว่าจะเกิดอาการแพ้ ทำให้ชั่วโมงแห่งรักนั้นต้องสะดุด หรือไม่สามารถมีเพศสัมพันธ์ได้อีกเลย ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่า การแพ้น้ำอสุจินั้นมาจากที่ร่างกายของคนคนนั้นแพ้โปรตีน ซึ่งผู้ชายก็สามารถเกิดอาการนี้ได้ เรียกว่าเกิดขึ้นได้ทั้งชายและหญิง

1. แพ้โปรตีนซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญในน้ำอสุจิ

จากที่เราเคยทราบว่า น้ำอสุจิก็คือโปรตีน ดังนั้น บางคนที่มีอาการแพ้โปรตีนอยู่แล้วก็สามารถแพ้น้ำอสุจิได้อย่างไม่น่าสงสัย โดยอาการจะเกิดหลังจากมีเพศสัมพันธ์ 2-3 นาที โดยเฉพาะผู้หญิงจะมีอาการแสบๆ คันๆ ยิบๆ บริเวณปากช่องคลอด หรือถ้าหากมีอาการแพ้มากจะเกิดผื่นแดงขึ้นทั่วร่างกาย ในบางรายนั้นแพ้ขั้นรุนแรงจนถึงขั้นส่งผลต่อระบบทางเดินหายใจได้ด้วย

2. เปลี่ยนคู่นอนบ่อย เสี่ยงต่อการแพ้น้ำอสุจิได้

แพ้น้ำอสุจิไม่ได้เกิดจากการที่คุณแพ้โปรตีนอย่างเดียว แต่ถ้าหากคุณมีความสัมพันธ์ทางเพศกับหลายคน จะเปลี่ยนชาย หรือเปลี่ยนหญิง ทั้งนี้ในกรณีเปลี่ยนคู่นอนก็มีผลต่ออาการแพ้เช่นกัน เพราะในน้ำอสุจิของแต่ละคนมีสารแอนติเจนที่ไปกระตุ้นภูมิคุ้มกันของผู้ที่ได้รับแตกต่างกัน ดังนั้นบางครั้งการร่วมหลับนอนกับคนหนึ่งอาจเกิดอาการแพ้ ในขณะที่การร่วมหลับนอนกับอีกคนหนึ่งอาจไม่เกิดอาการแพ้ก็ได้

3. แพ้น้ำอสุจิตัวเอง มักพบในเพศชายมากกว่าเพศหญิง

อาการแพ้น้ำอสุจินั้น ผู้ชายก็สามารถน้ำอสุจิตัวเองได้เช่นกัน ซึ่งอาการนี้จะเกิดขึ้นเมื่อมีการหลั่งน้ำอสุจิผ่านบริเวณท่อปัสสาวะ โดยอาการของผู้ชายที่แพ้น้ำอสุจิจะมีอาการปวดเมื่อย ไข้หวัด มีน้ำมูก ไข้ขึ้น เป็นต้น บางคนคิดว่าตัวเองเป็นไข้จึงแค่กินยาพาราเซตามอลเท่านั้น ซึ่งควรสังเกตอาการตัวเองให้ดี แล้วรีบปรึกาษแพทย์ทันที

4. แพ้อสุจิจากภูมิคุ้มกันตัวเองอ่อนแอ

ไม่ว่าชายหรือหญิง สำหรับผู้ที่มีอาการแพ้น้ำอสุจินั้น ก็ใช่ว่าจะเกิดอาการภูมิแพ้ขึ้นกับผู้ชายทุกคน เพราะในน้ำอสุจิของแต่ละคนนั้นมีสารที่จะไปกระตุ้นอาการแพ้มากน้อยแตกต่างกันไป หมายความว่าการมีเพศสัมพันธ์กับผู้ชายคนนี้แล้วเกิดอาการแพ้ แต่พอมีเพศสัมพันธ์กับผู้ชายอีกคนแล้วอาจไม่เกิดอาการแพ้ก็ได้ ขณะเดียวกัน ผู้ชายบางคนก็อาจมีอาการแพ้น้ำอสุจิของตัวเองด้วยได้เหมือนกัน และจะเกิดอาการทุกครั้งที่หลั่งน้ำออกมา

 

อาการของโรคแพ้น้ำอสุจิที่เห็นได้ชัด

อาการของโรคแพ้น้ำอสุจิ นั้นก็ไม่ต่างอะไรกับอาการภูมิแพ้หลายๆ อย่างที่พวกเราอาจเคยเห็นกัน โดยอาการเหล่านี้จะเกิดขึ้นภายใน 20 นาทีหลังจากที่มีเพศสัมพันธ์ หรือการสัมผัสกับน้ำอสุจิผ่านทางผิวหนัง ปาก และอื่นๆ ก็ด้วย ซึ่งอาการเบื้องต้นที่สังเกตเห็นได้ง่ายก็คือ

  • มีผื่นแดงขึ้นตามตัวหรือตรงบริเวณปากช่องคลอด ให้ผู้หญิงสันนิษฐานไว้ก่อนว่าอาจเกิดจากการแพ้น้ำอสุจิ อย่าเพิ่งกลืนกินหรือสัมผัสด้วยปาก อาการคันและผื่นแดงอาจลามไปทั่วใบหน้า ลำคอ จนเกิดอาการอักเสบได้
  • ปวดเมื่อยเนื้อตัวทั้งผู้ชายและผู้หญิงอาจคิดว่า ทำกิจกรรมร่วมรักมากเกินไปจนเกิดอาการปวดเมื่อยคล้ายออกกำลังกายมา ซึ่งก็อาจเป็นได้ แต่อย่าลืมว่า โรคภูมิแพ้น้ำอสุจิก็มีอาการคล้ายกับไข้หวัดใหญ่ มีอาการปวดเมื่อย ปวดหัว เหมือนจะไข้ขึ้นเช่นกัน
  • รู้สึกแสบคันบริเวณที่สัมผัสกับน้ำอสุจิ อย่างที่กล่าวไปว่า เนื้อเยื่ออ่อนๆ ภายในอาจมีการแพ้โปรตีนอยู่แล้ว เมื่อสัมผัสกับน้ำอสุจิ ทางปาก ลำคอ ช่องคลอด ย่อมเกิดอาการแพ้ได้ง่าย
  • มีอาการบวมตรงบริเวณต่างๆ มักพบเห็นได้บ่อยจากคนที่เป้นภูมิแพ้ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นแพ้อาหาร แพ้ยา แพ้ขนสัตว์ จะเกิดอาการแสบๆ คันๆ มีอาการปวด หลังร่วมเพศเสร็จลองสังเกตดูร่างกายตัวเองว่า มีอาการบวมหรือไม่ นั่นให้สันนิษฐานก่อนว่า แพ้น้ำอสุจิ ไม่ใช่การแพ้โซเดียมหรืออาการบวมน้ำแน่นอน

ทั้งนี้หากว่าอาการแพ้รุนแรงมากๆ แล้ว อาจส่งผลทำให้ไข้ขึ้นสูง รู้สึกคลื่นไส้อาเจียน ปวดท้อง ท้องเสีย ลิ้นบวม กระทบกับระบบทางเดินหายใจ หายใจติดขัด ซึ่งในกรณีเหล่านี้ควรรีบพบแพทย์โดยด่วน

บทความที่เกี่ยวข้อง: 8 ภูมิแพ้สุดแปลก !!! สิ่งของธรรมดา อาจทำให้คุณแพ้ได้

ผู้หญิงแพ้น้ำอสุจิแล้วจะตั้งครรภ์ได้หรือไม่

เมื่อมีเพศสัมพันธ์แล้วผู้หญิงมีอาการแพ้ หรือทราบว่าเป็นโรคภูมิแพ้อสุจิ ถ้าอย่างนั้น จะสามารถตั้งครรภ์ได้หรือไม่ แม้ว่าอาการแพ้นั้นไม่ได้ไปรบกวนต่อการปฏิสนธิแต่อย่างใด เมื่ออสุจิวิ่งเข้าไปแล้วจึงสามารถตั้งครรภ์ได้ตามปกติ เพียงแต่อาการแพ้มันส่งผลกระทบต่อการมีเพศสัมพันธ์เท่านั้นเอง แต่หากผู้หญิงคนไหนไม่ห่วงว่าต้องมีเพศสัมพันธ์เพื่อการตั้งครรภ์เสมอไป แพทย์ก็อาจแนะนำตัวเลือกอื่นๆ ได้ ยกตัวอย่างเช่น การทำเด็กหลอดแก้ว เป็นต้น สรุปได้ว่า ถึงแม้ว่าคุณแม่หรือผู้หญิงเกิดอาการแพ้น้ำอสุจิก็สามารถตั้งครรภ์ได้ เพราะน้ำอสุจิไม่มีผลกระทบต่อการปฏิสนธิเพียงแค่ จะเกิดอาการแพ้ภายนอกเท่านั้นเอง

วิธีการป้องกันโรคภูมิแพ้น้ำอสุจิ สามารถทำได้หลายวิธี

  1. เวลาทำกิจกรรมรักร่วมกัน ทั้งสามีภรรยา หรือคู่รักต้องตกลงกันว่า ให้ผู้ชายหลั่งน้ำอสุจิข้างนอก และต้องไปรดผิวหนังของฝายตรงข้าม หรือให้คู่รักของคุณสวมถุงยางอนามัยทุกครั้งระหว่างมีเพศสัมพันธ์ เพ่อป้องกันการแพ้ในผู้หญิง หรือหากเป็นคู่รักเพศเดียวกันแต่มีอาการแพ้ของคนใดคนหนึ่งก็ควรสวมถุงยางอนามัยเช่นกัน
  2. ตกลงกันก่อนทำกิจกรรมรักว่า ให้ผู้ชายใช้วิธีการหลั่งน้ำอสุจิภายนอก ตรงนี้ฝ่ายชายต้องมีความอดทนอดกลั้น และต้องนึกถึงสุขภาพของผู้ที่ร่วมรักเป็นสำคัญว่า อีกฝ่ายหนึ่งเป็นโรคภูมิแพ้น้ำอสุจิ ดังนั้นเมื่อถึงจุดสุดยอดแล้ว ฝ่ายชายควรรีบนำเอาอวัยวะเพศชายหลั่งข้างนอกในกรณีที่ไม่อยากสวมถุงยางอนามัย
  3. ตอนนี้มีถุงยางอนามัยสำหรับผู้หญิง ซึ่งการสวมถุงยางอนามัยมีประโยชน์หลายอย่าง เช่น ป้องกันการตั้งครรภ์ ป้องกันโรคติดต่อจากคู่รัก หรือป้องกันโรคภูมิแพ้น้ำอสุจิที่ตัวเองเป็น การพกถุงยางอนามัยเอง มีประโยชน์สำหรับผู้หญิงมากๆ ในกรณีที่ผู้ชายมักจะลืม หรือไม่ชอบสวม ผู้หญิงก็สวมเสียเอง
  4. สังเกตอาการแพ้น้ำอสุจิ ทั้งผู้หญิงและผู้ชายที่แพ้น้ำอสุจิ ลองสังเกตว่าอาการแพ้เหล่านั้นเกิดจากการใช้ถุงยางอนามัยหรือไม่ ในบางคนอาจแพ้โปรตีนหรือสารหล่อลื่น วิธีนี้แก้ไขได้โดยการเปลี่ยนชนิดถุงยางอนามัย
  5. หากคุณผู้หญิงหรือผู้ชายคนใดมีอาการแบบข้างต้นที่กล่าวมา หรือไม่แน่ใจว่าตนเองกำลังเสี่ยงเป็นโรคภูมิแพ้น้ำอสุจิหรือไม่ แนะนำให้ไปพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อทำการวินิจฉัยโรคและรักษา เพื่อสุขภาพอนามัยที่ดีของตัวคุณเอง

 

แพ้น้ำอสุจิระวังปากมดลูกอักเสบ

นอกจากอาการแพ้น้ำอสุจิจะสร้างความรำคาญใจระหว่างมีเพศสัมพันธ์แล้ว ผู้หญิงควรระวังไว้อย่างหนึ่งคือ การแพ้น้ำอสุจิอาจนำไปสู่โรคปากมดลูกอักเสบได้ ซึ่งภาวะปากมดลูกอักเสบมักมีสาเหตุมาจากการติดเชื้อ โดยอาการที่พบจะรุนแรงและพบได้บ่อย มักเกิดจากการติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ เช่น โรคหนองในแท้ โรคหนองในเทียม โรคเริมที่อวัยวะเพศ การติดเชื้อทริโคโมแนส เป็นต้น

นอกจากนี้ ภาวะปากมดลูกอักเสบอาจเกิดขึ้นได้จากสาเหตุอื่นๆ ด้วยดังนี้

  • ผู้หญิงอาจแพ้สารเคมีในยาฆ่าเชื้ออสุจิที่ใช้สวนล้างช่องคลอดจากวิธีคุมกำเนิดชนิดหนึ่ง รวมถึงแพ้ยางจากถุงยางอนามัยและผลิตภัณฑ์ที่ใช้ระงับกลิ่นหรือใช้สวนล้างช่องคลอด
  • ช่องคลอดมีการระคายเคืองจากผ้าอนามัยแบบสอดเครื่องมือคุมกำเนิดอย่างหมวกครอบปากมดลูก หรืออุปกรณ์ที่ใช้สอดเข้าไปในช่องคลอดเพื่อช่วยพยุงอวัยวะในอุ้งเชิงกรานที่หย่อนตัว
  • ผู้หญิงมีฮอร์โมนในร่างกายที่ขาดสมดุล เช่น มีฮอร์โมนเอสโตรเจนหรือโปรเจสเตอโรนสูงเกินไป เป็นต้น ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อเนื้อเยื่อบริเวณช่องคลอดได้
  • ผู้หญิงมีความไม่สมดุลของเชื้อแบคทีเรียในร่างกาย เนื่องจากมีแบคทีเรียชนิดที่ไม่ดีที่เป็นอันตรายมากเกินไป จึงทำปฏิกิริยาทางปากมดลูกทำให้เกิดอาการอักเสบจนต้องไปพบแพทย์
  • สาเหตุนี้ลุกลามมาจากการที่เป็นโรคมะเร็งหรือรับการรักษามะเร็งด้วยวิธีฉายรังสี ซึ่งอาจทำให้บริเวณปากมดลูกเกิดการเปลี่ยนแปลง และทำให้เกิดอาการปากมดลูกอักเสบตามมาได้

บทความที่เกี่ยวข้อง: ควรทำอย่างไรดีเมื่อ ช่องคลอดติดเชื้อ ระหว่างช่วงตั้งครรภ์

การรักษาปากมดลูกอักเสบ

เมื่อเกิดอาการอักเสบบริเวณปากมดลูก ไม่ว่าจะแพ้น้ำอสุจิหรือเหตุผลใดๆ ก็ตาม ผู้หญิงเราต้องรีบไปพบแพทย์เพื่อค้นหาสาเหตุทันที แพทย์จะรักษาโดยพิจารณาจากอาการและความรุนแรง ประวัติสุขภาพของผู้ป่วย และสาเหตุของภาวะปากมดลูกอักเสบ โดยมีวิธีรักษา ดังนี้

  • แพทย์จะสั่งหยุดใช้ผลิตภัณฑ์บางชนิดที่เป็นสาเหตุของการระคายเคืองเช่น หยุดมีเพศสัมพันธ์ หรือโดนน้ำอสุจิ หยุดใช้ผ้าอนามัยแบบสอด อุปกรณ์พยุงช่องคลอด หมวกครอบปากมดลูก เป็นต้น
  • แพทย์จะใช้ยารักษาอาการอักเสบของปากมดลูกซึ่งหากภาวะปากมดลูกอักเสบเกิดจากการติดเชื้อ แพทย์จะให้ยาปฏิชีวนะ ยาต้านเชื้อรา หรือยาต้านไวรัส ขึ้นอยู่กับชนิดของเชื้อที่เป็นสาเหตุ เพื่อป้องกันเชื้อแพร่กระจายไปสู่มดลูกและปีกมดลูก และป้องกันการติดเชื้อของทารกในกรณีที่ผู้ป่วยตั้งครรภ์
  • สำหรับผู้หญิงที่ติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์อย่างโรคหนองในแท้หรือโรคหนองในเทียม แพทย์จะแนะนำให้คู่ของผู้ป่วยเข้ารับการรักษาด้วย ตรงนี้อาจเช็คว่าทั้งคู่มีอาการแพ้น้ำอสุจิร่วมด้วยหรือไม่ เพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่เกิดการติดเชื้ออีกครั้ง ซึ่งผู้ป่วยควรหลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์จนกว่าจะหายดี และจะต้องมาตรวจอาการซ้ำอีกรอบเพื่อยืนยันผล ส่วนผู้ป่วยที่เป็นโรคเริมบริเวณอวัยวะเพศ อาจได้รับยาต้านไวรัสเพื่อช่วยบรรเทาอาการช่องคลอดอักเสบ แต่จะไม่สามารถรักษาโรคเริมให้หายขาดได้
  • การแพทย์สมัยใหม่มีการผ่าตัดด้วยความเย็นซึ่งสามารถใช้รักษาผู้ป่วยที่ปากมดลูกอักเสบจากโรคมะเร็งปากมดลูกหรือมะเร็งในระยะเริ่มต้น โดยแพทย์จะใช้ความเย็นจัดเพื่อทำลายเซลล์ที่ผิดปกติในปากมดลูก หรืออาจใช้สารซิลเวอร์ไนเตรทเพื่อช่วยทำลายเซลล์ที่ผิดปกติด้วย

 

การป้องกันภาวะปากมดลูกอักเสบ ที่เกิดจากการแพ้น้ำอสุจิหรือโรคทางเพศสัมพันธ์อื่นๆ

  • มีเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัยเพื่อป้องกันการเกิดภาวะปากมดลูกอักเสบจากการติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ โดยควรใส่ถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์ ไม่เปลี่ยนคู่นอนบ่อย ๆ
  • หลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้นไม่ใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีสารเคมีที่อาจก่อให้เกิดความระคายเคืองต่อช่องคลอด เช่น น้ำยาสวนล้างช่องคลอด ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดช่องคลอด หากจำเป็นต้องใช้อุปกรณ์ที่ใส่เข้าไปในช่องคลอด ควรปฏิบัติตามคำแนะนำเกี่ยวกับการใช้งาน อย่างการใส่ การถอด และการทำความสะอาดอย่างถูกวิธี
  • ต้องอยู่ในการควบคุมอาการป่วยผู้ป่วยโรคเบาหวานควรควบคุมน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม เพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดภาวะปากมดลูกอักเสบ

 

สำหรับแนวทางการรักษาโรคภูมิแพ้น้ำอสุจินั้นอย่างที่เราทราบกันดีว่าอาการภูมิแพ้นั้นยังไม่มีแนวทางการรักษาที่หายขาด เพราะฉะนั้นอาการในลักษณะนี้จึงทำได้เพียงแค่บรรเทาให้กลับมาเป็นปกติด้วยการกินยาหรือฉีดวัคซีนเท่านั้นเอง

 

บทความที่น่าสนใจ

มีใครอยากอสุจิแข็งแรงบ้าง? วิธีทําให้น้ําอสุจิออกเยอะๆ วิธีบำรุงสเปิร์ม

วิธีใส่ถุงยางอนามัย ข้อควรระวังในการใส่ถุงยางอนามัย ถุงยางอนามัยป้องกันอะไรได้บ้าง

เลือก ถุงยางอนามัย อย่างไร ถึงจะเจอในแบบที่ใช่สำหรับคุณ

ที่มา: catdumb , issm , sanook

บทความโดย

Chatchadaporn Chuichan