การเลี้ยงลูกตามใจเกินเหตุ อาจส่งผลทำให้ลูกป่วยเป็น โรคเอาแต่ใจตัวเอง ถึงไม่ร้ายแรงทางกายแต่ก็ส่งผลให้ลูกติดนิสัยเอาแต่ใจ ขี้วีน ก้าวร้าว และไม่มีเหตุผลไปได้จนถึงโต
เลี้ยงลูกอย่างไรให้เป็น โรคเอาแต่ใจตัวเอง
รศ.นพ.ศิริไชย หงส์สงวนศรี จิตแพทย์เด็กและวัยรุ่น โรงพยาบาลรามาธิบดี ได้อธิบายถึงอาการเอาแต่ใจของเด็กว่ามีอยู่ 3 ระดับ คือ ระดับปกติ ที่สามารถเกิดขึ้นได้กับเด็กทั่วไป ระดับมีปัญหาเล็กน้อย และระดับที่มีปัญหารุนแรง ซึ่งระดับที่ 3 นี้ จิตแพทย์ทั่วโลกจะมีเกณฑ์การวินิจฉัยว่า เป็นโรค Oppositional Defiant Disorder หรือ “โรคเอาแต่ใจ” ส่วนใหญ่พบในเด็ก 3 ขวบขึ้นไป และเกิดในเด็กผู้ชายมากกว่าผู้หญิง คิดเป็นสัดส่วน 9:1
เด็กที่เป็นโรคเอาแต่ใจตัวเอง จะมีอาการดื้อต่อต้านอย่างรุนแรง พ่อแม่พูดก็ไม่ฟัง อารมณ์หงุดหงิด โมโหง่าย จนบางครั้งก็อาละวาดถึงขั้นที่ทำร้ายหรือรังแกผู้อื่น ทำลายข้าวของในบ้านได้ หากสังเกตว่าลูกมีอาการดังกล่าวในระยะเวลานาน 6 เดือน ถือว่าป่วยเป็นโรคเอาแต่ใจแล้ว
ปัจจัยที่ทำให้ลูกเป็นโรคเอาแต่ใจได้นั้นอาจเกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น เด็กบางคนเกิดมาเลี้ยงง่ายหรือเลี้ยงยาก ซึ่งเกิดจากสมองส่วนหน้าที่ควบคุม ยับยั้งอารมณ์ และพฤติกรรมทำงานผิดปกติ ส่งผลให้ไม่สามารถควบคุมอารมณ์ได้ หรือปัจจัยด้านการเลี้ยงดูที่มีผลต่อสภาวะจิตใจ ที่ทำให้เด็กมีพฤติกรรมต่อต้าน ดื้อ และก้าวร้าว อาจเป็นเพราะพ่อแม่ยุคใหม่ที่ยังขาดทักษะและแนวคิดในการเลี้ยงลูกอย่างถูกต้อง พ่อแม่บางคนเข้าใจผิดว่าถ้าไปขัดใจลูกก็จะทำให้ลูกหงุดหงิดง่ายอารมณ์ไม่ดี จึงยอมตามใจ หรือพ่อแม่แบบที่เลี้ยงลูกด้วยการใช้ความรุนแรง ชอบบังคับ ก็จะทำให้เด็กมีนิสัยก้าวร้าว เอาแต่ใจตัวเองได้
ยิ่งในปัจจุบัน พ่อแม่ส่วนใหญ่มีเวลากับลูกน้อยลง ทำให้ความผูกพันทางอารมณ์ ความใกล้ชิดระหว่างพ่อแม่และลูกลดลงตามไปด้วย โดยเฉพาะในช่วงวัย 2-3 ขวบ ที่พ่อแม่บางคนปล่อยให้ลูกอยู่กับพี่เลี้ยง ดูแต่ทีวีตามลำพัง หรือชดเชยด้วยสิ่งของ ซึ่งทำให้ลูกคิดว่าสิ่งของคือความรักที่พ่อแม่มีให้ ถ้าอยากได้ความรักก็คือเรียกร้องที่จะเอาสิ่งของ เมื่อไม่สมหวัง ก็จะเกิดภาวะทางอารมณ์ที่เสี่ยงต่อการเป็นโรคเอาแต่ใจตัวเองได้
ดังนั้นหนทางที่ดีก่อนให้ลูกป่วยเป็นโรคเอาแต่ใจ พ่อแม่ควรมองให้เห็นถึงความต้องการของลูกทั้งด้านกายภาพและจิตใจ มีการสร้างบรรยากาศภายในบ้านให้เกิดความผูกพันระหว่างกันและกัน ด้วยการสร้างเวลาคุณภาพให้พ่อแม่ได้อยู่ใกล้ชิดกับลูกมากที่สุด พยายามหากิจกรรมที่ทำร่วมได้ พร้อมกับสอดแทรกคำแนะนำหรือคำสอนลูกไปในตัว โดยใช้คำพูดที่เข้าใจง่าย ฝึกใช้เหตุผลกับลูกจนเกิดเป็นนิสัย
สิ่งสำคัญที่คุณหมอได้ให้แง่คิดเกี่ยวกับการเลี้ยงลูกของพ่อแม่ในยุคนี้ว่า “ควรระลึกอยู่เสมอว่าสิ่งที่ลูกต้องการจริง ๆ นั้นไม่ใช้สิ่งของหรือของเล่นราคาแพง แต่เป็นความรัก ความผูกพันที่พ่อแม่มอบให้กับลูก การดูแลของพ่อแม่อย่างใกล้ชิดและถูกต้อง จะทำให้ลูกห่างไกลจากโรคเอาแต่ใจนี้ได้แน่นอน”
ที่มา : www.manager.co.th
บทความอื่นที่น่าสนใจ :
เลี้ยงลูกอย่างไรให้ออกมาดี 10 วิธีที่ทำให้พ่อแม่เข้าใจลูกสมัยนี้ได้ไม่ยาก
เลี้ยงลูกอย่างไร ให้เป็นอัจฉริยะ