คุณพ่อคุณแม่คะ อาการเลือดกำเดาไหลในเด็กนั้น เป็นสภาวะที่พบบ่อยในเด็กเล็กตั้งแต่ 2 – 3 ขวบไปจนถึงวัยประถมต้นเลยละค่ะ โดยปกติแล้วก็มักมีอาการเลือดออกไม่รุนแรง และจะหยุดไปได้เองภายใน 5-10 นาที ภายหลังจากมีการบีบจมูกเบา ๆ
ซึ่งภาวะเลือดกำเดาไหลนั้น อาจะเกิดจากการที่ลูกไปแคะ แกะ หรือเกาบริเวณจมูกอย่างรุนแรง จนทำให้เส้นเลือดฝอยบริเวณเยื่อบุจมูกแตกง่าย พบมากในช่วงฤดูหาวหรืออากาศที่แห้ง หรืออาจจะเกิดจากการได้รับอุบัติเหตุบริเวณใบหน้า ศีรษะ หรือมีโรคประจำตัว ยกตัวอย่างเช่น โรคภูมิแพ้จมูก เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม เลือดกำเดาไหล อาจเป็นอาการของโรคบางโรคที่ต้องได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที ดังนั้น หากคุณพ่อคุณแม่พบว่า ลูกมีเลือดกำเดาไหลมากผิดปกติก็ควรรีบไปพบแพทย์ให้เร็วที่สุดนะคะ ซึ่งอาการหรือสัญญาณที่ว่านี้ได้แก่
- เลือดกำเดาไหลไม่หยุดนานเกิน 30 นาที ทั้ง ๆ ที่คุณพ่อคุณแม่ใช้วิธีการห้ามเลือดแล้วก็ตาม
- เลือดกำเดาไหลนาน ร่วมกับผิวหนังของลูกมีรอยเลือดออก เช่น มีผีพรายย้ำ จ้ำเขียว หรือมีจุดแดงหรือจุดเลือดปรากฎอยู่ตามตัว
- เมื่อมีเลือดออกตามไรฟันหรือลิ้นร่วมด้วย
- ปัสสาวะของลูกมีสีคล้ายน้ำล้างเนื้อ หรืออุจจาระมีสีดำคล้ายยางมะตอย หรือปนเลือดร่วมด้วย
- เมื่อลูกมีไข้สูง
- เด็กมีอาการเวียนศีรษะ เหนื่อยง่าย อ่อนเพลีย ไม่ร่าเริง หรือตัวซีดลง
ปกติแล้วร่างกายของเราจะมีเกล็ดเลือด ซึ่งเป็นส่วนประกอบของเลือดชนิดหนึ่งที่ทำหน้าที่ในการป้องกันเลือดออก และช่วยในการหยุดของเลือดหากเกิดบาดแผล อาการเลือดกำเดาไหลจึงอาจเป็นอาการแสดงของโรคเลือดต่ำ ที่ทำให้เกล็ดเลือดลดจำนวนลงหรือทำงานผิดปกติ ส่งผลให้เลือดออกง่าย ทั้งนี้สาเหตุของภาวะเลือดกำเดาไหลนั้น ก็อาจเกิดจากโรคที่ถ่ายอดทางพันธุกรรมหรือโรคที่เกิดขึ้นภายหลังได้อีกด้วย ยกตัวอย่างเช่น
- โรควอนวิลล์แบรนด์ หรือ VWD ที่เป็นโรคที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรม ทำให้เกล็ดเลือดทำงานผิดปกติ เลือดออกง่ายและหยุดยาก
- โรคเกล็ดเลือดต่ำจากภูมิต้านทางตนเอง หรือ ITP ซึ่งเป็นภาวะเกล็ดเลือดต่ำที่พบบ่อยในเด็กภายหลังจากเด็กติดเชื้อประมาณ 1 – 3 สัปดาห์ หรือหลังได้รับการฉีดวัคซีน ทำให้เกล็ดเลือดในร่างกายมีปริมาณต่ำลง
- โรคไขกระดูกฝ่อ ทำให้ร่างกายไม่สามารถสร้างเลือดทุกชนิดได้เพียงพอ ทำให้เด็กมีโลหิตจาง และติดเชื้อได้ง่ายเนื่องจากเกล็ดเลือดขาวต่ำลง ส่งผลให้เลือดออกง่าย
- โรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว ที่มีเซลล์มะเร็งเม็ดเลือดขาวแทรกซึมอยู่ในไขกระดูก ทำให้สร้างเม็ดเลือดที่ปกติได้ลดลง
นอกจากนี้ การที่ลูกเลือดกำเดาไหลนาน ๆ ก็อาจทำให้เกิดภาวะซีดจากการสูญเสียเลือดเรื้อรัง และเกิดภาวะการขาดธาตุเหล็กได้ค่ะ วิธีสังเกตง่าย ๆ ก็คือ ให้สังเกตว่า หากเด็กมีอาการเวียนศีรษะ เป็นลมง่าย หรือเหนื่อยง่าย ก็ให้คุณพ่อคุณแม่พาลูกไปพบแพทย์เพื่อตรวจเลือดทันที
คุณพ่อคุณแม่สามารถปฐมพยาบาลเบื้องต้นเพื่อช่วยหยุดเลือดกำเดาได้ดังนี้
1. ให้ลูกนั่งหรือยืนแล้วก้มหน้าลง ใช้นิ้วชี้และหัวแม่มือ บีบปีกจมูกทั้งสองข้างให้แน่นเป็นเวลา 5 – 10 นาที โดยให้หายใจทางปากแทน เพื่อกดบริเวณด้านหน้าของผนังกั้นช่องจมูก ซึ่งเป็นตำแหน่งที่มีเลือดออกบ่อยที่สุด
2. ไม่ควรให้ลูกนั่งแหงนหน้าเพราะอาจมีเลือดไหลลงคอ อาจทำให้อาเจียนจากการกลืนเลือดเข้าไป
3. หลังเลือดกำเดาไหล ภายใน 24-48 ชั่วโมงแรก ถ้าเลือดหยุดแล้ว ควรนอนพัก ยกศีรษะสูง นำน้ำแข็งหรือ cold pack มาประคบบริเวณหน้าผากหรือคอ
4. หลีกเลี่ยงการสั่งน้ำมูกแรง ๆ, การแคะจมูก, การกระทบกระเทือนบริเวณจมูก, การออกแรงมาก เพราะอาจทำให้มีเลือดออกได้
5. หากเลือดออกไม่หยุดหรือออกมากผิดปกติ ควรพาลูกไปพบคุณหมอเพื่อตรวจหาสาเหตุที่ถูกต้องต่อไป
ที่มา: DailyNews
บทความอื่น ๆ ที่น่าสนใจ:
อันตรายไหม ถ้าเลือดกำเดาไหลตอนท้อง
คุณแม่กังวลใจ ทำไม ลูกเลือดกำเดาไหลบ่อย