ลูกเลือดกำเดาไหล ภัยเงียบที่พ่อแม่ควรศึกษา

เลือดกำเดาไหลอาจดูไม่น่ากลัว แต่อาจเป็นสัญญาณของโรคร้ายที่คุณคาดไม่ถึง

Loading...
You got lucky! We have no ad to show to you!
ติดต่อโฆษณา

คุณพ่อคุณแม่คะ อาการเลือดกำเดาไหลในเด็กนั้น เป็นสภาวะที่พบบ่อยในเด็กเล็กตั้งแต่ 2 – 3 ขวบไปจนถึงวัยประถมต้นเลยละค่ะ โดยปกติแล้วก็มักมีอาการเลือดออกไม่รุนแรง และจะหยุดไปได้เองภายใน 5-10 นาที ภายหลังจากมีการบีบจมูกเบา ๆ

ซึ่งภาวะเลือดกำเดาไหลนั้น อาจะเกิดจากการที่ลูกไปแคะ แกะ หรือเกาบริเวณจมูกอย่างรุนแรง จนทำให้เส้นเลือดฝอยบริเวณเยื่อบุจมูกแตกง่าย พบมากในช่วงฤดูหาวหรืออากาศที่แห้ง หรืออาจจะเกิดจากการได้รับอุบัติเหตุบริเวณใบหน้า ศีรษะ หรือมีโรคประจำตัว ยกตัวอย่างเช่น โรคภูมิแพ้จมูก เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม เลือดกำเดาไหล อาจเป็นอาการของโรคบางโรคที่ต้องได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที ดังนั้น หากคุณพ่อคุณแม่พบว่า ลูกมีเลือดกำเดาไหลมากผิดปกติก็ควรรีบไปพบแพทย์ให้เร็วที่สุดนะคะ ซึ่งอาการหรือสัญญาณที่ว่านี้ได้แก่

  • เลือดกำเดาไหลไม่หยุดนานเกิน 30 นาที ทั้ง ๆ ที่คุณพ่อคุณแม่ใช้วิธีการห้ามเลือดแล้วก็ตาม
  • เลือดกำเดาไหลนาน ร่วมกับผิวหนังของลูกมีรอยเลือดออก เช่น มีผีพรายย้ำ จ้ำเขียว หรือมีจุดแดงหรือจุดเลือดปรากฎอยู่ตามตัว
  • เมื่อมีเลือดออกตามไรฟันหรือลิ้นร่วมด้วย
  • ปัสสาวะของลูกมีสีคล้ายน้ำล้างเนื้อ หรืออุจจาระมีสีดำคล้ายยางมะตอย หรือปนเลือดร่วมด้วย
  • เมื่อลูกมีไข้สูง
  • เด็กมีอาการเวียนศีรษะ เหนื่อยง่าย อ่อนเพลีย ไม่ร่าเริง หรือตัวซีดลง

ปกติแล้วร่างกายของเราจะมีเกล็ดเลือด ซึ่งเป็นส่วนประกอบของเลือดชนิดหนึ่งที่ทำหน้าที่ในการป้องกันเลือดออก และช่วยในการหยุดของเลือดหากเกิดบาดแผล อาการเลือดกำเดาไหลจึงอาจเป็นอาการแสดงของโรคเลือดต่ำ ที่ทำให้เกล็ดเลือดลดจำนวนลงหรือทำงานผิดปกติ ส่งผลให้เลือดออกง่าย ทั้งนี้สาเหตุของภาวะเลือดกำเดาไหลนั้น ก็อาจเกิดจากโรคที่ถ่ายอดทางพันธุกรรมหรือโรคที่เกิดขึ้นภายหลังได้อีกด้วย ยกตัวอย่างเช่น

  • โรควอนวิลล์แบรนด์ หรือ VWD ที่เป็นโรคที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรม ทำให้เกล็ดเลือดทำงานผิดปกติ เลือดออกง่ายและหยุดยาก
  • โรคเกล็ดเลือดต่ำจากภูมิต้านทางตนเอง หรือ ITP ซึ่งเป็นภาวะเกล็ดเลือดต่ำที่พบบ่อยในเด็กภายหลังจากเด็กติดเชื้อประมาณ 1 – 3 สัปดาห์ หรือหลังได้รับการฉีดวัคซีน ทำให้เกล็ดเลือดในร่างกายมีปริมาณต่ำลง
  • โรคไขกระดูกฝ่อ ทำให้ร่างกายไม่สามารถสร้างเลือดทุกชนิดได้เพียงพอ ทำให้เด็กมีโลหิตจาง และติดเชื้อได้ง่ายเนื่องจากเกล็ดเลือดขาวต่ำลง ส่งผลให้เลือดออกง่าย
  • โรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว ที่มีเซลล์มะเร็งเม็ดเลือดขาวแทรกซึมอยู่ในไขกระดูก ทำให้สร้างเม็ดเลือดที่ปกติได้ลดลง

นอกจากนี้ การที่ลูกเลือดกำเดาไหลนาน ๆ ก็อาจทำให้เกิดภาวะซีดจากการสูญเสียเลือดเรื้อรัง และเกิดภาวะการขาดธาตุเหล็กได้ค่ะ วิธีสังเกตง่าย ๆ ก็คือ ให้สังเกตว่า หากเด็กมีอาการเวียนศีรษะ เป็นลมง่าย หรือเหนื่อยง่าย ก็ให้คุณพ่อคุณแม่พาลูกไปพบแพทย์เพื่อตรวจเลือดทันที

Loading...
You got lucky! We have no ad to show to you!
ติดต่อโฆษณา

คุณพ่อคุณแม่สามารถปฐมพยาบาลเบื้องต้นเพื่อช่วยหยุดเลือดกำเดาได้ดังนี้

1. ให้ลูกนั่งหรือยืนแล้วก้มหน้าลง ใช้นิ้วชี้และหัวแม่มือ บีบปีกจมูกทั้งสองข้างให้แน่นเป็นเวลา 5 – 10 นาที โดยให้หายใจทางปากแทน เพื่อกดบริเวณด้านหน้าของผนังกั้นช่องจมูก ซึ่งเป็นตำแหน่งที่มีเลือดออกบ่อยที่สุด

2. ไม่ควรให้ลูกนั่งแหงนหน้าเพราะอาจมีเลือดไหลลงคอ อาจทำให้อาเจียนจากการกลืนเลือดเข้าไป

Loading...
You got lucky! We have no ad to show to you!
ติดต่อโฆษณา

3. หลังเลือดกำเดาไหล ภายใน 24-48 ชั่วโมงแรก ถ้าเลือดหยุดแล้ว ควรนอนพัก ยกศีรษะสูง นำน้ำแข็งหรือ cold pack มาประคบบริเวณหน้าผากหรือคอ

4. หลีกเลี่ยงการสั่งน้ำมูกแรง ๆ, การแคะจมูก, การกระทบกระเทือนบริเวณจมูก, การออกแรงมาก  เพราะอาจทำให้มีเลือดออกได้

5. หากเลือดออกไม่หยุดหรือออกมากผิดปกติ ควรพาลูกไปพบคุณหมอเพื่อตรวจหาสาเหตุที่ถูกต้องต่อไป

Loading...
You got lucky! We have no ad to show to you!
ติดต่อโฆษณา

ที่มา: DailyNews

บทความอื่น ๆ ที่น่าสนใจ:

อันตรายไหม ถ้าเลือดกำเดาไหลตอนท้อง

คุณแม่กังวลใจ ทำไม ลูกเลือดกำเดาไหลบ่อย

บทความโดย

Muninth