จากประสบการณ์ของแม่ติ๊ก คุณแม่ของน้องเคที่ คันนิ่งแฮม ดาราเด็กและพรีเซนเตอร์สินค้ามากมาย วันนี้แม่ติ๊กจะมาเปิดเผยเรื่องราวชีวิตลูกสะใภ้อินเตอร์และแม่ผัวฝรั่งที่ไม่ได้หอมหวานอย่างที่ใครๆ คิด เรื่องราวจะเป็นเช่นไร และคุณติ๊กทำอย่างไรถึงเอาชนะใจแม่สามีได้ ตามไปอ่านกันเลยค่ะ
11 ปีที่แล้ว ตอนนั้นดิฉันอายุ 20 ปี ได้มีโอกาสเดินทางไปช่วยพี่สาวเลี้ยงหลานที่ประเทศฝรั่งเศส ส่วนสามีเป็นคนอังกฤษและเดินทางมาท่องเที่ยวที่ฝรั่งเศส เราทั้งคู่จึงได้พบกัน และคบกันแบบคู่รัก ดิฉันมั่นใจว่าเค้าคนนี้แหละ คือพรหมลิขิตของดิฉัน เมื่อสามีเอ่ยปากขอแต่งงาน ดิฉันจึงตอบตกลงอย่างไม่ลังเล และเราสองคนก็กลับมาไทยเพื่อจัดพิธีวิวาห์และใช้ชีวิตร่วมกัน
โดยไม่บอกเรื่องนี้ให้ญาติสามีที่อังกฤษทราบ
สามีบอกแม่เค้าเพียงแค่ว่า ได้พบเจอสาวไทยคนหนึ่ง และตัดสินใจจะย้ายมาอยู่เมืองไทยเพื่อจะศึกษาดูใจเท่านั้น
ส่วนเหตุผลที่ทำให้ยังไม่สามารถบอกญาติที่อังกฤษเรื่องงานแต่งงานนั่นก็เพราะ ดิฉันกลัวค่ะ กลัวว่าทางญาติสามีจะไม่ยอมรับดิฉันเป็นสมาชิกใหม่ในครอบครัว
จนเมื่อเวลาผ่านไป เข้าสู่ปีที่ 2 ของชีวิตคู่ สามีคิดว่าถึงเวลาแล้วที่ต้องเปิดเผยเรื่องของดิฉันให้ครอบครัวของเค้าทราบ จึงตัดสินใจพาไปทำความรู้จักกับญาติพี่น้องที่อังกฤษ
วันแรกที่ไปถึงบ้านแม่สามีที่อังกฤษดิฉันตื่นเต้นมาก ยิ่งตอนสามีได้แนะนำเราคือภรรยาของเค้า ดิฉันแทบจะเป็นลม เพราะยังกลัวอยู่ว่าเค้าจะรับได้หรือไม่
เมื่อแม่สามีทราบว่าดิฉันเป็นใคร ท่านยิ้มให้ และพูดต้อนรับดิฉันอย่างอบอุ่น
ความรู้สึกตอนนนั้น เหมือนยกภูเขาออกจากอกเลยค่ะ รู้สึกสบายใจมาก และรู้สึกตัวเองโชคดีที่ไม่มีปัญหาแม่ผัวลูกสะใภ้เหมือนคนอื่น
แต่แล้วดิฉันก็ต้องน้ำตาตกใน เมื่อเจอคำถามแม่สามีที่ว่า….
แม่สามีถามดิฉันว่า “เธอไม่มีปัญญาหาสามีเหรอ? ถึงได้แต่งงานกับคนแก่ เธอหวังสมบัติเค้าใช่มั๊ย?”
ดิฉันรู้สึกหน้าชาแต่ไม่ได้โต้ตอบอะไรออกไป ได้แต่ยิ้มๆ ทั้งที่ในใจเจ็บปวดมาก
แม้รู้ว่าแม่สามีไม่ปลื้ม แต่ดิฉันก็ไม่ยอมแพ้ ขอเอาความดีเข้าสู้ ตลอดเวลาที่อยู่อังกฤษ ดิฉันปรนนิบัติแม่สามีเหมือนแม่แท้ๆ ของตัวเอง เราให้ความเคารพท่านตลอดและไม่เคยก้าวร้าวเกินเลย อดทนต่อคำดูถูกดูแคลนเพื่อหวังเอาชนะใจท่าน แต่ท่านใจแข็งมาก เวลาไปไหน ท่านจะแนะนำว่าเราเป็นเพียงแฟนของลูกชายท่านเท่านั้น จนถึงวันที่ต้องกลับไทยดิฉันยังสัมผัสได้ถึงความเย็นชาและไม่ต้อนรับลูกสะใภ้คนนี้
หลังกลับไทยได้ 1 ปี ดิฉันได้ให้กำเนิดลูกสาวคนแรกของครอบครัว คือน้องเคที่ ในระหว่างที่อยู่ไทย ดิฉันจึงทำได้ดีที่สุดแค่เพียงหมั่นโทรไปถามสารทุกข์สุกดิบแม่สามี พูดคุยกับท่านทุกครั้งที่มีโอกาส พยายามทำให้ท่านเข้าใจว่าดิฉันรักลูกชายของท่านอย่างจริงใจ และไม่เคยคิดจะแย่งชิงความรักของลูกชายไปจากท่านเลย จนเคที่อายุ 3 ขวบ เราจึงได้กลับไปอังกฤษอีกครั้งหนึ่ง
การไปอังกฤษในครั้งนั้น แม่ติ๊กตั้งใจจะพิชิตใจเเม่ผัวให้ได้ โดยยึดหลักเหล่านี้ค่ะ
- อดทนให้ถึงที่สุด แม้ว่าจะโดนดุ โดนว่าอย่างไร แม่ติ๊กก็ยิ้มรับและพยายามปรับปรุงตัวเองเสมอ
- รักแม่เค้าเหมือนเรา ดิฉันดูแลปรนนิบัติแม่สามีเหมือนแม่แท้ๆ ของตัวเอง แม้ว่าท่านจะใจร้ายกับดิฉันเพียงใด แต่ดิฉันขอเอาความดีเข้าสู้ ไม่เคยก้าวร้าวเกินเลย ท่านแม่แต่ครั้งเดียว
- ดูแลญาติพี่น้อง นอกจากแม่สามีแล้ว ดิฉันเข้าหาครอบครัวญาติสามีด้วย พูดคุย ถามสารทุกข์สุกดิบเสมอและพาเคที่ไปเยี่ยมเยือนเมื่อมีโอกาส
- ให้เกียรติสามี ดิฉันดูแลลูกชายของท่านอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง เพราะเชื่อว่าสามีคือดวงใจของท่าน
เหมือนน้ำหยดลงหิน ในที่สุดความพยายามทั้งหมดของดิฉันก็สัมฤทธิ์ผล เมื่อแม่สามีแนะนำใครๆ ว่า ผู้หญิงไทยคนนี้แหละ คือลูกสะใภ้ ของท่าน ดิฉันดีใจมาก ที่ได้รับการยอมรับจากท่านในที่สุด
นอกจาก 4 วิธีข้างต้นแล้ว แม่ติ๊กเชื่อว่าทีเด็ดข้อสุดท้ายที่เป็นกุญแจสำคัญในการทำให้แม่สามีเริ่มเปิดใจก็คือ น้องเคที่ค่ะ
5. หลานคือกาวใจ ดิฉันสอนลูกให้มีสัมมาคารวะกับผู้ใหญ่ รู้จักกาละเทศะ ตามแบบเด็กไทย ด้วยนิสัยที่เรียบร้อยและอ่อนโยน เคที่จึงเป็นที่รักของญาติๆ ทุกคน เมื่อคุณย่าได้เห็นหลานสาวเป็นครั้งแรก คุณย่าก็เอ็นดูหลาวสาวตัวน้อยๆ คนนี้มากค่ะ
จนในขณะนี้ ผ่านมา 11 ปีแล้ว แม่ติ๊กยังมีชีวิตคู่ที่มีความสุข และอบอุ่นใจเพราะมีความรัก ความเข้าใจจากแม่สามี ส่วนแม่ๆ ท่านไหนที่เจอปัญหาเดียวกับแม่ติ๊ก ก็ขอเป็นกำลังใจให้ และหวังว่าเรื่องราวของแม่ติี๊กจะมีประโยชน์ กับแม่ๆ นะคะ
บทความที่คล้ายกัน