กลายเป็นประเด็นร้อนของโลกโซเชียลในตอนนี้เลยก็ว่าได้ เมื่อคุณแม่ท่านหนึ่งได้แชร์เรื่องราวที่เกิดขึ้นกับลูกสาวหลังถูกครูตีจนกระดูกมือร้าวผ่านเวปพันทิป
ก่อนเกิดเรื่องไม่กี่สัปดาห์ก่อนหน้า คุณแม่ต้องพาลูกสาววัย 9 ขวบกว่าไปทำพาสปอร์ต แต่เพราะเกิดปัญหาขัดข้อง ทำให้ลูกสาวต้องหยุดเรียนไปหลายวัน ผลที่ตามมาก็คือ ลูกท่องศัพท์และท่องหนังสือไม่ทัน เมื่อกลับมาถึงบ้านก็สังเกตเห็นลูกสาวเอามือทุบขาตัวเอง เหมือนคนที่มีอาการเมื่อย หน้าตาดูอิดโรยอย่างเห็นได้ชัด จากเด็กที่เคยสดใส กลับกลายเป็นเด็กที่ไม่ร่าเริง จึงสอบถามลูกและพบว่า โดนครูทำโทษด้วยการให้ยืนยาว 6 คาบตลอดสองวัน
คุณแม่จึงเข้าไปขอร้องครูประจำชั้นให้เปลี่ยนวิธีการลงโทษลูกจากการยืน มาเป็นให้ตีแทน เรื่องจะได้จบ ๆ ไปและลูกสาวจะได้ไม่ทรมานขนาดนี้
ไม่กี่สัปดาห์หลังจากนั้น ลูกสาวลืมตามงานแบบฝึกหัดของวิชานาฏศิลป์ ทำให้คราวนี้ครูประจำชั้นคนเดิมทำโทษลูกด้วยการตี แต่การตีคราวนี้มันเกินไป เพราะครูตีลูกที่นิ้วไป 10 ที และครูประจำชั้นก็พบว่าลูกสาวมีการเขียนอีกวิชาหนึ่งผิด จึงถูกตีไปที่นิ้วอีก 5 ที รวมเป็น 15 ครั้งในวันเดียว
ตอนแรกคิดว่าลูกจะไม่เป็นอะไรมาก แต่เนื่องจากลูกสาวมีอาการปวดนิ้วมาก จึงพาไปหาหมอ และผลจากการเอ็กซเรย์พบว่า นิ้วนางและนิ้วก้อยข้างซ้ายของลูกสาวนั้นร้าว หมอจึงจำเป็นต้องดามไปก่อน ตนและสามีจึงเข้าพบกับผู้อำนวยการโรงเรียนเพื่อร้องเรียนถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
ครูประจำชั้นออกมายอมรับและกล่าวขอโทษอย่างเสียไม่ได้ ผู้อำนวยการจึงให้ครูประจำชั้นเขียนจดหมายฑัณบน แต่ไม่มีการถามไถ่ถึงสภาพจิตใจของลูกแต่อย่างใด พูดแต่ว่าจะดูแลพฤติกรรมของครูประจำชั้นรายนี้อย่างใกล้ชิด พร้อมทั้งยินดีที่จะชดใช้ค่าเสียหายที่เกิดขึ้นหากค่ารักษาพยาบาลนั้นเกินสามพันบาทตามประกันอุบัติเหตุกลุ่มของโรงเรียน และก็พูดแต่เพียงว่า “อย่าย้ายโรงเรียน”
คุณพ่อจึงนำเรื่องนี้ไปแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ เพราะถือเป็นคดีทำร้ายร่างกาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับเด็กที่มีอายุเพียง 9 ขวบเท่านั้น แม้แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจเองยังกล่าวเลยว่า เป็นเรื่องยากที่จะยอมรับได้ และตอนนี้คุณแม่ก็ไม่อยากที่จะพาลูกกลับไปเรียนที่โรงเรียนแห่งนี้อีกแล้ว จึงอยากขอความเห็นของคุณแม่ท่านอื่น ๆ ว่า ควรทำอย่างไรต่อไปดี
คุณพ่อคุณแม่คิดเห็นอย่างไรกันบ้างคะ กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ คุณจะเลือกที่จะให้ลูกเรียนต่อ หรือว่าย้ายโรงเรียนดีคะ ลองแชร์ความเห็นกันเข้ามาดูนะคะ
ที่มา: เวปพันทิป
บทความอื่น ๆ ที่น่าสนใจ: