โรคไข้กาฬหลังแอ่น แม้พบไม่บ่อย แต่อาจคร่าชีวิตได้ใน 24 ชั่วโมง

.

Loading...
You got lucky! We have no ad to show to you!
ติดต่อโฆษณา

 

โรคไข้กาฬหลังแอ่น อาจไม่ใช่ชื่อที่คุ้นหูมากนักในประเทศไทย เพราะเป็นโรคที่พบได้ไม่บ่อย แต่กลับเป็นโรคติดเชื้อที่ร้ายแรงและคาดเดาไม่ได้2 การทำความเข้าใจและเตรียมพร้อมรับมือจึงเป็นสิ่งสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับคุณพ่อคุณแม่ทุกคนค่ะ theAsianparent จะชวนมาทำความรู้จักกับโรคนี้อย่างละเอียด ตั้งแต่ความรุนแรงของโรค ไปจนถึงวิธีการป้องกันที่สำคัญที่สุดอย่างวัคซีนเพื่อปกป้องลูกน้อยจากไข้กาฬหลังแอ่นกันค่ะ

 

คุณพ่อคุณแม่ มาทำความรู้จักกับ โรคไข้กาฬหลังแอ่น

คุณพ่อคุณแม่ยุคใหม่อาจไม่ค่อยคุ้นหูนักกับชื่อโรคไข้กาฬหลังแอ่นแต่รู้ไหมคะว่านี่คือโรคติดเชื้อที่ร้ายแรงมาก แม้จะพบได้ไม่บ่อยในประเทศไทย โดยมีรายงานเพียงปีละประมาณ 2030 รายเท่านั้น3 แต่เมื่อเกิดขึ้นแล้วก็สร้างความเสียหายได้อย่างรวดเร็ว1

โรคไข้กาฬหลังแอ่น มีชื่อทางการแพทย์ว่า Meningococcemia หรือ Meningococcal meningitis เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย Neisseria meningitidis  ซึ่งทำให้เกิดการติดเชื้อในกระแสเลือดหรือเยื่อหุ้มสมองอักเสบอย่างรุนแรง เชื้อนี้มีหลายสายพันธุ์ แต่สายพันธุ์ที่พบมากที่สุดในไทยคือ สายพันธุ์ B ค่ะ2

Loading...
You got lucky! We have no ad to show to you!
ติดต่อโฆษณา

อาการโรคไข้กาฬหลังแอ่น

อาการของโรคไข้กาฬหลังแอ่นมักเกิดขึ้นอย่างเฉียบพลันและรวดเร็ว หลังได้รับเชื้อประมาณ 2-10 วัน4 อาการเริ่มต้น  เหมือนไข้หวัดเลยค่ะ คือ มีไข้ หนาวสั่น อ่อนเพลีย และปวดเมื่อย5 แต่โรคจะลุกลามไวภายในไม่กี่ชั่วโมง1 โดยแบ่งอาการที่รุนแรงได้เป็น 2 แบบค่ะ

  • อาการเยื่อหุ้มสมองอักเสบ: ผู้ป่วยจะมีไข้สูง คอแข็ง อาเจียน ปวดศีรษะรุนแรง ซึมลง4,5
  • ภาวะติดเชื้อในกระแสเลือด: ผู้ป่วยจะมีไข้สูง ผื่นจ้ำเลือด มือเท้าเย็น และอาจมีภาวะความดันโลหิตต่ำ ซึ่งสามารถนำไปสู่ภาวะช็อกและอวัยวะล้มเหลวได้ในที่สุด4,5  อาการจะรุนแรงจนอาจนำไปสู่การเสียชีวิตภายใน 24 ชั่วโมงได้เลยค่ะ1

 สำหรับในเด็กเล็กจะมีอาการที่สังเกตได้แตกต่างออกไป เช่น ร้องไห้ผิดปกติ ซึมลง และไม่ยอมกินอาหารคู่6

ความรุนแรงของโรคนี้อาจทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิตได้ภายใน 24 ชั่วโมง แม้จะได้รับการรักษาอย่างเหมาะสมแล้วก็ตาม1 โดยมีอัตราการเสียชีวิตสูงถึง 10-15 % โดยเฉพาะในทารกและเด็กเล็กที่มีอายุต่ำกว่า 2 ปี จะมีความเสี่ยงสูงและอาการจะยิ่งรุนแรงมากขึ้นไปอีกค่ะ2

นอกจากความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตแล้ว ผลกระทบของโรคยังไม่หมดแค่นั้นค่ะ เพราะในบรรดาผู้ที่รอดชีวิต 1 ใน 5 อาจต้องเผชิญกับความพิการที่หลงเหลืออยู่ ไม่ว่าจะเป็นความพิการทางสมอง โรคลมชัก หรือการสูญเสียแขนขาและการได้ยิน ซึ่งส่งผลกระทบต่อพัฒนาการและการเรียนรู้ของลูกน้อยในระยะยาวค่ะ5,7

Loading...
You got lucky! We have no ad to show to you!
ติดต่อโฆษณา

 ที่น่าตกใจคือมีการศึกษาในเด็กและวัยรุ่นไทยพบว่า มีเชื้อไข้กาฬหลังแอ่นเกาะอยู่ที่คอถึง 14.2% แม้ว่าจะไม่แสดงอาการ8 แต่ก็เป็นสิ่งที่พ่อแม่ควรตระหนักถึงนะคะ เพราะหากลูกน้อยเกิดอาการขึ้นมาแล้ว การรับมืออย่างรวดเร็วเป็นสิ่งสำคัญที่สุดค่ะ

ใครคือกลุ่มเสี่ยงที่ต้องเฝ้าระวังเป็นพิเศษ?2,9

รู้ไหมคะว่า จริงๆ แล้วเราทุกคนต่างก็เสี่ยงต่อโรคไข้กาฬหลังแอ่นกันค่ะ แต่มีบางกลุ่มที่ต้องเฝ้าระวังและป้องกันมากเป็นพิเศษ ดังนี้ค่ะ

  • กลุ่มเสี่ยงด้านอายุ: พบรุนแรงมากที่สุดในทารกและเด็กอายุน้อยกว่า 2 ปี
  • กลุ่มเสี่ยงด้านสุขภาพ: ผู้ที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง หรือผู้ที่ไม่มีม้าม รวมถึงผู้ที่ได้รับยากดภูมิบางชนิด
  • กลุ่มเสี่ยงจากการเดินทางหรือสัมผัสโรค: ผู้ที่ทำงานในห้องปฏิบัติการที่มีโอกาสสัมผัสเชื้อโดยตรง และผู้ที่ต้องเดินทางไปยังพื้นที่ที่มีการระบาดของโรคไข้กาฬหลังแอ่น และวัยรุ่นที่อาศัยในพื้นที่แออัด เช่น หอพักในวิทยาลัย ก็เป็นกลุ่มที่ควรระมัดระวังเช่นกันค่ะ

 

Loading...
You got lucky! We have no ad to show to you!
ติดต่อโฆษณา

การป้องกันโรคไข้กาฬหลังแอ่น

คุณพ่อคุณแม่อาจคิดว่า โรคนี้มีโอกาสเกิดขึ้นน้อยมาก แต่เมื่อเทียบกับความร้ายแรงของโรคแล้ว การป้องกันไม่ให้เกิดขึ้นกับลูกน้อยและทุกคนในครอบครัวนั้นสำคัญที่สุดค่ะ มาดูมาตรการป้องกัน 3 ขั้นตอนง่ายๆ กันนะคะ

1. การป้องกันการติดเชื้อ10

โรคนี้ติดต่อได้จากการสัมผัสสารคัดหลั่ง เช่น น้ำลาย รวมถึงการสัมผัสใกล้ชิด ดังนั้นเพื่อลดความเสี่ยง ควรหลีกเลี่ยงการใช้สิ่งของส่วนตัวร่วมกับผู้อื่น เช่น แก้วน้ำ ช้อนส้อม และควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วยในสถานที่แออัดค่ะ

2. การให้ยาปฏิชีวนะ5

การให้ยาปฏิชีวนะป้องกันภายหลังสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วยโรคไข้กาฬหลังแอ่น

3. การรับวัคซีน2,9

การรับวัคซีนถือเป็นเครื่องมือสำคัญและจำเป็นที่สุดในการป้องกันโรคไข้กาฬหลังแอ่นในปัจจุบัน สมาคมโรคติดเชื้อในเด็กแห่งประเทศไทย ได้แนะนำให้พิจารณาวัคซีนชนิดนี้เป็นวัคซีนทางเลือกสำหรับเด็กในกลุ่มเสี่ยง ซึ่งสามารถ รับวัคซีนได้ตั้งแต่อายุ 2 เดือนขึ้นไป โดยเฉพาะในกลุ่มต่อไปนี้ค่ะ

  • ทารกและเด็กเล็ก ตั้งแต่อายุ 2 เดือน – 2 ปี
  • เด็กในกลุ่มเสี่ยง จากโรคประจำตัว หรือการได้รับยาบางชนิด
  • วัยรุ่นและนักศึกษา โดยเฉพาะผู้ที่ต้องเดินทางไปศึกษาต่อยังต่างประเทศ เช่น อเมริกาหรืออังกฤษ ซึ่งประเทศเหล่านี้มักมีข้อกำหนดให้รับวัคซีนป้องกันโรคไข้กาฬหลังแอ่น และผู้ที่เดินทางไปยังสถานที่ที่มีการระบาด

 

คุณพ่อคุณแม่สามารถปรึกษากุมารแพทย์เพื่อขอคำแนะนำและร่วมกันตัดสินใจเกี่ยวกับการรับวัคซีนได้นะคะ เพราะแม้โรคไข้กาฬหลังแอ่นจะเป็นโรคที่รุนแรงและมีอัตราการเสียชีวิตสูง แต่เราก็สามารถป้องกันได้ด้วยมาตรการต่างๆ รวมถึงการรับวัคซีนที่ช่วยปกป้องลูกน้อยได้ค่ะ

 โรคนี้เป็นโรคติดเชื้อที่อันตรายอย่างยิ่ง แม้จะพบไม่บ่อยในไทย แต่เมื่อเกิดขึ้นแล้วก็สร้างความเสียหายได้อย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในทารกและเด็กเล็กที่อายุต่ำกว่า 2 ปี ซึ่งภูมิคุ้มกันยังไม่แข็งแรงพอจะต่อสู้กับเชื้อได้ ผู้ป่วยอาจเสียชีวิตได้ภายใน 24 ชั่วโมง1,2 และในบรรดาผู้ที่รอดชีวิต 1 ใน  5 อาจต้องเผชิญกับความพิการถาวร ไม่ว่าจะเป็นความพิการทางสมอง หรือการสูญเสียอวัยวะ4,5

ด้วยความรุนแรงของโรคที่คาดเดาไม่ได้ การป้องกันความเสี่ยงให้กับลูกน้อยจึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุด โดยเฉพาะการให้ลูกได้รับการรับวัคซีนป้องกันไข้กาฬหลังแอ่น คุณพ่อคุณแม่สามารถขอคำปรึกษาเรื่องวัคซีนได้จากโรงพยาบาลใกล้บ้าน หรือกุมารแพทย์ของลูกน้อยได้เลยค่ะ

 

 

Loading...
You got lucky! We have no ad to show to you!
ติดต่อโฆษณา

 

ข้อมูลอ้างอิง

  1. Apicella, M. A., et al. (2025). Epidemiology of Neisseria meningitidis infection. UpToDate. Retrieved September 16, 2025, from https://www.uptodate.com/contents/epidemiology-of-neisseria-meningitidis-infection.
  2. Pediatric Infectious Disease Society of Thailand. (2025). Recommendations for meningococcal vaccination in Thai children and adolescents. Bangkok: PIDST. Retrieved September 4, 2025, from pidst.or.th/A1527.html
  3. กระทรวงสาธารณสุข. (2015, มีนาคม 8). สธ. ย้ำประชาชนไทยไม่มี โรคไข้กาฬหลังแอ่น ระบาด ไทยพบผู้ป่วยน้อยมาก ปีละ 20 – 30 ราย. สืบค้นเมื่อวันที่ 10 กันยายน, 2025, จาก https://pr.moph.go.th/online/index/news/71379
  4. Mbaeyi, S., et al. (2021, April 25). Meningococcal disease. In E. Hall, A. P. Wodi, J. Hamborsky, et al. (Eds.), Epidemiology and prevention of vaccine-preventable diseases (14th ed.). Retrieved September 10, 2025, from https://www.cdc.gov/pinkbook/hcp/table-of-contents/chapter-14-meningococcal-disease.html.
  5. American Academy of Pediatrics. (2021). Red Book: 2021–2024 report of the Committee on Infectious Diseases (32nd ed., pp. 519-532). American Academy of Pediatrics.
  6. Thompson, M., et al. (2006). Clinical recognition of meningococcal disease in children and adolescents. Lancet, 367, 397-403.
  7. Pace, D., et al. (2012). Meningococcal disease: Clinical presentation and sequelae. Vaccine, 30S, B3-9.
  8. Serra, L., et al. (2020). Carriage of Neisseria Meningitidis in Low and Middle Income Countries of the Americas and Asia: A Review of the Literature. Infectious diseases and therapy, 9(2), 209–240.
  9. Center of Disease Control and Prevention. (2020, Sep 25). Meningococcal Vaccination: Recommendations of the Advisory Committee on Immunization Practices, United States, 2020. MMWR Recommendation and Reports, 69(9), 1-42.
  10. Department of Disease Control. (2023). Annual epidemiological surveillance report 2022 (pp. 26-30). Department of Disease Control.

 

NonPromotional Material

NPTHMNUWCNT250007 I 10/25

###

บทความโดย

theAsianparent Editorial Team