เชื่อว่าต้องมีใครหลาย ๆ คนที่ชอบการทำไร่ ทำสวน ชอบการปลูกต้นไม้ หรือ ปลูกผักไว้รับประทานเองภายในครัวเรือน ซึ่งการทำสวนด้วยตัวเองจะมีหลายขั้นตอนในการดูแล อาทิ เช่น การรดน้ำ การใส่ปุ๋ย การใส่สารอาหารให้กับพืชผัก หรือแม้กระทั่งการพ่นยาเพื่อกำจัดศัตรูพืช ซึ่งต้องอาศัยอุปกรณ์ในการพ่นนั่นก็คือ “เครื่องพ่นยา” โดยวันนี้ theAsianparent จะมาแนะนำ วิธีเลือกเครื่องพ่นยา สำหรับการทำงานเกษตร งานไร่ งานสวนว่าควรเลือกอย่างไรให้เหมาะสม คุ้มค่า และตรงตามความต้องการในการใช้งาน
เครื่องพ่นยา คืออะไร ?
สำหรับใครที่เพิ่งเริ่มเข้าสู่วงการการทำสวน ทำไร่ หรือ ปลูกผักอาจจะยังไม่รู้จักกับเครื่องพ่นยา ซึ่งถึงแม้จะเรียกว่าเครื่องพ่นยาแต่จริง ๆ แล้วไม่จำเป็นต้องใช้เพียงเพื่อพ่นยาอย่างเดียวเพียงเท่านั้น เพราะเครื่องพ่นยาสามารถนำมาปรับใช้งานได้หลากหลาย อาทิ เช่น การนำมารดน้ำต้นไม้ ดอกไม้ พืชผักสวนครัว พ่นเพื่อใส่ปุ๋ยบำรุงดิน หรือใช้พ่นยากำจัดศัตรูพืชตามชื่อ ซึ่งเครื่องพ่นยาก็จะมีหลากหลายประเภท เพื่อให้ครอบคลุมกับทุกความต้องการ โดยที่การใช้เครื่องพ่นยาจะช่วยทุ่นแรงในการทำสวน ช่วยให้ประหยัดเวลา และช่วยให้พืชผักได้รับการบำรุงอย่างทั่วถึงนั่นเองค่ะ
บทความที่เกี่ยวข้อง : 10 น้ำยาล้างผักผลไม้ ยี่ห้อไหนดี ล้างสะอาด ไร้สารพิษตกค้าง ใช้งานได้ปลอดภัย
วิธีเลือกเครื่องพ่นยา จากประเภทของเครื่องพ่นยา
1. วิธีเลือกเครื่องพ่นยา แบบใช้เครื่องยนต์
สำหรับเครื่องพ่นยาชนิดแรกนั่นก็คือ เครื่องพ่นยาแบบใช้เครื่องยนต์ ซึ่งจะมีข้อดีคือสามารถฉีดพ่นยาได้ในระยะที่ไกลได้ดีมาก ๆ และมีกำลังแรงในการพ่นยามากกว่าเครื่องพ่นยาชนิดอื่น ๆ สามารถฉีดพ่นยาได้ในบริเวณกว้างช่วยให้ประหยัดเวลาทำให้ทำสวนได้อย่างรวดเร็ว ประหยัดทั้งแรง ประหยัดทั้งเวลา และสามารถใช้งานได้ยาวนานมาก ๆ ค่ะ
แต่ข้อด้อยของเครื่องพ่นยาแบบใช้เครื่องยนต์ คือจะต้องใช้น้ำมันเบนซินเป็นเชื้อเพลิงในการทำงานของเครื่องยนต์ ซึ่งจะมีราคาที่สูงนั่นเองค่ะ ทำให้มีค่าใช้จ่ายในส่วนนี้เพิ่มขึ้นมา สำหรับใครที่มีสวนขนาดใหญ่ขอแนะนำให้ใช้เครื่องพ่นยาประเภทนี้ เพราะว่าเหมาะกับการใช้งานในสวนที่มีขนาดใหญ่ ถือว่าเป็นการลงทุนที่คุ้มค่ามาก ๆ โดยเครื่องพ่นยาแบบใช้เครื่องยนต์จะแบ่งออกเป็น 3 ประเภท ได้แก่..
- เครื่องพ่นยาแบบเครื่องยนต์พกพา :จะเป็นเครื่องพ่นยาที่มีขนาดเล็กสามารถพกพา และเคลื่อนย้ายได้สะดวก ในส่วนของความแรงจะขึ้นอยู่กับหัวฉีดโดยทั่วไปแล้วเครื่องยนต์ประเภทนี้จะมีให้เลือกแบบ 2 จังหวะ และแบบ 4 จังหวะ แต่ที่นิยมใช้กันมาก ๆ จะเป็นเครื่องพ่นยาแบบ 2 จังหวะมากกว่าค่ะ
- เครื่องพ่นยาแบบเครื่องยนต์แบบสะพายหลัง :โดยเครื่องพ่นยาประเภทนี้จะเป็นเครื่องพ่นยาขนาดใหญ่ ทำจากพลาสติกที่มีความแข็งแรงจะมีสายพ่น และตัวถังด้านหลังสามารถเก็บสารเคมี ยาพ่น หรือน้ำได้เยอะ และจะสามารถฉีดพ่นได้ไกล และอีกหนึ่งจุดเด่น คือมีน้ำหนักเบา ซึ่งคนส่วนใหญ่จะนิยมใช้แบบเครื่อง 2 จังหวะ เพราะว่าจะมีปัญหาในการใช้งานค่อนข้างน้อย
- เครื่องพ่นยาแบบเครื่องยนต์ 3 สูบแบบตั้งพื้น :และเครื่องพ่นยาแบบเครื่องยนต์ประเภทสุดท้ายจะเป็นเครื่องพ่นยาที่เหมาะกับการฉีดพ่นในพื้นที่กว้าง ๆ เป็นเครื่องที่มีการเพิ่มแรงดันทำให้สามารถพ่นยาได้แรงและเร็ว โดยจะแบ่งออกเป็นเครื่องพ่นยา 2 จังหวะ ซึ่งเป็นระบบเครื่องยนต์ที่ใช้การดูด อัด ระเบิด และคายโดยใช้ลูกสูบเดียว ซึ่งแตกต่างจากเครื่องพ่นยา 4 จังหวะ ที่ใช้ระบบดูด อัด ระเบิด คายแบบ 2 รอบ ทำให้เครื่องพ่นยา 2 จังหวะทำงานได้เร็วกว่านั่นเองค่ะ
2. วิธีเลือกเครื่องพ่นยา แบบใช้แบตเตอรี่
เครื่องพ่นยาแบบใช้แบตเตอรี่จะเป็นเครื่องพ่นยาที่ใช้พลังงานไฟฟ้า ทำให้เมื่อใช้พ่นยาไปได้สักระยะเวลาหนึ่งแบตเตอรี่อาจหมดลงได้โดยส่วนมากจะสามารถใช้งานได้ประมาณ 4 – 6 ชั่วโมงขึ้นอยู่กับแต่ละยี่ห้อและแต่ละรุ่น เพราะฉะนั้นก่อนจะใช้งานจึงต้องคำนวณปริมาณสารเคมีที่ต้องฉีด คำนึงถึงขนาดของสวนหรือไร่ รวมถึงระยะเวลาในการใช้งานเครื่องพ่นยาอย่างต่อเนื่อง โดยเครื่องพ่นยาประเภทนี้จะให้ความแรงในการฉีดเหมือนกับเครื่องพ่นยาแบบเครื่องยนต์เลยค่ะ และมีอายุการใช้งานของแบตเตอรี่อยู่ที่ประมาณ 1 – 2 ปี ถือว่าคุ้มค่าและสามารถใช้งานได้นาน
ข้อแนะนำ by TAP : ก่อนที่จะเลือกซื้อเครื่องพ่นยาแบบใช้แบตเตอรี่ ขอแนะนำให้ดูว่าแบตเตอรี่สามารถทำงานได้สูงสุดกี่ชั่วโมง เพื่อให้ตรงตามระยะเวลาความต้องการในการใช้งาน
3. วิธีเลือกเครื่องพ่นยา แบบคันโยก
และสำหรับเครื่องพ่นยาแบบสุดท้ายนั่นก็คือ เครื่องพ่นยาแบบคันโยก ซึ่งเครื่องพ่นยาประเภทนี้จะมีราคาที่ค่อนข้างถูกกว่าเครื่องพ่นยาประเภทอื่น ๆ เหมาะสำหรับการใช้งานกับสวนที่มีขนาดพื้นที่ไม่ได้ใหญ่มาก อาทิ เช่น สวนหลังบ้าน หรือสวนเล็ก ๆ ไม่กี่ตารางเมตร เพราะว่าเครื่องพ่นยาประเภทนี้ต้องโยกคันโยกที่ติดกับตัวเครื่องน้ำยาถึงจะถูกพ่นออกมา และแรงฉีดถือว่ามีความเบาไม่ได้แรงมากทำให้ฉีดได้ระยะไม่ไกลมาก ซึ่งถ้าหากใช้ไปนาน ๆ อาจจะทำให้เมื่อย และเกิดอาการปวดหลัง ปวดไหล่ได้อีกด้วยค่ะ
แนะนำ วิธีเลือกขนาดเครื่องพ่นยา by TAP
หลังจากที่ได้ทราบ วิธีเลือกเครื่องพ่นยา ตามประเภทของเครื่องพ่นยากันเป็นที่เรียบร้อย อีกหนึ่งปัจจัยในการเลือกซื้อเครื่องพ่นยาก็คือขนาดของเครื่องพ่นยา เพื่อให้เหมาะกับพื้นที่การใช้งานโดยเครื่องพ่นยาจะมีหลายขนาดให้เลือกซื้อ เพราะฉะนั้นจึงควรเลือกซื้อให้เหมาะสมกับการใช้งาน โดยมีคำแนะนำ ดังนี้ค่ะ
- เครื่องพ่นยา ขนาด 5 ลิตร :จะเป็นเครื่องพ่นยาที่เหมาะสำหรับงานสวนขนาดเล็ก – กลาง หรือสำหรับดูแลต้นไม้ภายในสวนที่มีพื้นที่เล็ก ๆ ไม่ได้ใหญ่มาก
- ถังพ่นยา ขนาด 10 ลิตร :โดยเครื่องพ่นยาขนาดความจุ 10 ลิตรนี้จะเหมาะสำหรับพ่นปุ๋ย พ่นยาพืช – ผักทางการเกษตรในพื้นที่ขนาดกลางที่ไม่ได้เล็ก หรือ ใหญ่มาก
- ถังพ่นยา ขนาด 12 ลิตร :จะเป็นขนาดของเครื่องพ่นยาที่เหมาะสำหรับใช้งานตามอเนกประสงค์ สามารถปรับใช้งานได้หลากหลายทั้งงานสวนขนาดเล็ก ไปจนถึงสวนขนาดกลางค่อนไปทางกว้างแต่ยังไม่ใหญ่มาก
- เครื่องพ่นยา ขนาด 16 ลิตร: เป็นขนาดเครื่องพ่นยาที่เหมาะสำหรับฉีดปุ๋ย พ่นยาตามการใช้งานในพื้นที่สวนที่มีขนาดกลาง – ใหญ่ในระดับเบื้องต้น เพราะว่าจะบรรจุสารเคมี น้ำ หรือปุ๋ยได้ในปริมาณที่เยอะ
- ถังพ่นยา ขนาด 18 ลิตร :เหมาะสำหรับใช้พ่นยาฆ่าแมลง กำจัดมด กำจัดปลวก โดยสามารถใช้ได้ทั้งบริเวณภายในบ้าน และรอบตัวบ้าน รวมถึงยังสามารถใช้พ่นปุ๋ย และพ่นยาในสวนขนาดกลาง – ใหญ่ได้ดีอีกด้วยค่ะ
- เครื่องพ่นยา ขนาด 20 ลิตร :เป็นเครื่องพ่นยาที่มีขนาดใหญ่ เหมาะสำหรับการใช้ฉีดยา พ่นปุ๋ย รดน้ำในพื้นที่สวน พื้นที่ไร่ที่มีขนาดใหญ่ เพราะจะบรรจุสารเคมีได้เยอะ มีแรงดัน และกำลังฉีดที่แรง ทำให้สามารถพ่นยาได้อย่างรวดเร็ว
และทั้งหมดนี้ก็เป็น วิธีเลือกเครื่องพ่นยา ที่ theAsianparent ได้รวบรวมมาฝากโดยการพิจารณาจากประเภทของเครื่องพ่นยา และขนาดของเครื่องพ่นยา เพื่อให้เหมาะกับการใช้งาน สำหรับใครที่กำลังสนใจอยากซื้อเครื่องพ่นยามาใช้ทำสวนทำไร่ของตัวเองสามารถนำวิธีเหล่านี้ไปปรับใช้ เพื่อเลือกซื้อเครื่องพ่นยาที่ตรงตามความต้องการได้เลยค่ะ
บทความอื่น ๆ ที่น่าสนใจ :
10 เครื่องพ่นยา คุณภาพดี ใช้งานง่าย พ่นไกล ไม่เปลืองแรง
แนะนำ 10 เครื่องล้างผัก แบบไหนดี ปี 2023 ใช้งานง่าย ต้องมีติดบ้าน!
แนะนำ 7 เครื่องตัดหญ้าไฟฟ้า ใช้งานง่าย เสียงเบา ใช้งานได้นาน
ที่มา : theasianparent