น้ำหนักคนท้องขึ้นกี่กิโล เปลี่ยนแปลงอย่างไร และควรดูแลยังไงบ้าง ? การตั้งครรภ์เป็นช่วงเวลาพิเศษที่ร่างกายของผู้หญิงจะเกิดการเปลี่ยนแปลงมากมาย หนึ่งในสิ่งที่สังเกตเห็นได้ชัดเจนคือ การเพิ่มขึ้นของน้ำหนัก ซึ่งเป็นเรื่องปกติและจำเป็นต่อการเจริญเติบโตของทารกในครรภ์ แต่การเพิ่มน้ำหนักในแต่ละช่วงและปัจจัยที่เกี่ยวข้องนั้นมีความแตกต่างกันไป
การเปลี่ยนแปลงของน้ำหนักในแต่ละช่วง
ช่วงเวลา | การเปลี่ยนแปลงน้ำหนักโดยเฉลี่ย | ปัจจัยที่เกี่ยวข้อง |
ไตรมาสแรก (0-12 สัปดาห์) | เพิ่มขึ้น 1-2 กิโลกรัม หรืออาจลดลงเล็กน้อย | อาการแพ้ท้อง, การเจริญเติบโตของมดลูก |
ไตรมาสที่สอง (13-28 สัปดาห์) | เพิ่มขึ้นประมาณ 0.5 กิโลกรัมต่อสัปดาห์ | การเจริญเติบโตของทารก, น้ำคร่ำ, และเลือด |
ไตรมาสที่สาม (29-40 สัปดาห์) | เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วที่สุด | การเจริญเติบโตของทารกอย่างรวดเร็ว, น้ำคร่ำ, และการสะสมไขมัน |
หมายเหตุ: ตัวเลขที่กล่าวมาข้างต้นเป็นค่าเฉลี่ย และอาจแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล ขึ้นอยู่กับปัจจัยต่าง ๆ เช่น น้ำหนักตัวก่อนตั้งครรภ์, สุขภาพโดยรวม, และขนาดของทารก
ปัจจัยที่มีผลต่อน้ำหนักที่เพิ่มขึ้น
- น้ำหนักตัวก่อนตั้งครรภ์: หากแม่มีน้ำหนักเกินก่อนตั้งครรภ์ ไม่ควรเพิ่มน้ำหนักมากไปในระหว่างตั้งครรภ์
- จำนวนทารก: การตั้งครรภ์แฝดหรือมากกว่านั้น จะทำให้น้ำหนักเพิ่มขึ้นมากกว่าการตั้งครรภ์เดี่ยว
- ปริมาณน้ำคร่ำ: ปริมาณน้ำคร่ำที่มากเกินไปจะทำให้น้ำหนักเพิ่มขึ้น
- ขนาดของรก: รกที่มีขนาดใหญ่จะทำให้น้ำหนักเพิ่มขึ้น
- ปริมาณเลือด: ร่างกายจะผลิตเลือดเพิ่มขึ้นเพื่อเลี้ยงทารก ทำให้น้ำหนักเพิ่มขึ้น
- ไขมันสะสม: ร่างกายจะสะสมไขมันเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการให้นมบุตร
น้ำหนักคนท้องขึ้นกี่กิโล เมื่อไหร่ที่ควรพบแพทย์ ?
การเปลี่ยนแปลงน้ำหนักเป็นเรื่องปกติในช่วงตั้งครรภ์ แต่การเพิ่มขึ้นของน้ำหนักที่มากเกินไปหรือน้อยเกินไป อาจเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงปัญหาสุขภาพที่อาจเกิดขึ้นได้ การติดตามน้ำหนักอย่างสม่ำเสมอและปรึกษาแพทย์เป็นสิ่งสำคัญ
เมื่อใดควรพบแพทย์เมื่อน้ำหนักเพิ่มขึ้น
- น้ำหนักเพิ่มขึ้นเร็วเกินไป: หากคุณพบว่าน้ำหนักเพิ่มขึ้นเร็วกว่าที่แพทย์แนะนำ หรือมากกว่าค่าเฉลี่ยที่กล่าวมาข้างต้น ควรปรึกษาแพทย์ทันที สาเหตุที่เป็นไปได้อาจรวมถึง
- โรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์: ทำให้ร่างกายไม่สามารถนำน้ำตาลไปใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้น้ำหนักเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
- ภาวะน้ำคร่ำมากเกินไป: น้ำคร่ำที่ล้อมรอบทารกมีปริมาณมากเกินปกติ
- ภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ: เช่น โรคความดันโลหิตสูงขณะตั้งครรภ์
- น้ำหนักเพิ่มขึ้นน้อยเกินไป: หากน้ำหนักเพิ่มขึ้นน้อยกว่าที่แพทย์แนะนำ หรือหยุดเพิ่มขึ้น อาจเป็นสัญญาณว่าทารกไม่ได้รับสารอาหารเพียงพอ สาเหตุที่เป็นไปได้อาจรวมถึง
- ทารกโตช้า: ทารกมีขนาดตัวเล็กกว่าปกติ
- รกทำงานไม่ดี: รกไม่สามารถส่งสารอาหารและออกซิเจนไปยังทารกได้อย่างเพียงพอ
ผลกระทบจากการที่แม่ท้องน้ำหนักเกิน
การที่คุณแม่ตั้งครรภ์มีน้ำหนักเกินเกณฑ์นั้น อาจส่งผลกระทบต่อทั้งคุณแม่และลูกน้อยได้หลากหลายด้าน ดังนี้
ผลกระทบต่อคุณแม่
- ภาวะแทรกซ้อนระหว่างตั้งครรภ์:
- เบาหวานขณะตั้งครรภ์: ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้น ส่งผลต่อทั้งคุณแม่และลูกน้อย
- ความดันโลหิตสูง: เพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะครรภ์เป็นพิษ
- ภาวะครรภ์เป็นพิษ: อาการรุนแรงที่อาจส่งผลต่ออวัยวะสำคัญ เช่น ไต ตับ และสมอง
- การคลอดก่อนกำหนด: ทำให้ทารกมีน้ำหนักน้อย และอาจมีปัญหาสุขภาพตามมา
- ภาวะแทรกซ้อนระหว่างคลอด:
- การผ่าตัดคลอด: มีโอกาสต้องผ่าตัดคลอดสูงขึ้น เนื่องจากทารกตัวใหญ่ หรือมีภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ
- การตกเลือดหลังคลอด: มีโอกาสเกิดการตกเลือดหลังคลอดสูงขึ้น
- ภาวะแทรกซ้อนหลังคลอด:
- ภาวะซึมเศร้าหลังคลอด: อาจเกิดจากความเหนื่อยล้าและการเปลี่ยนแปลงทางร่างกายและอารมณ์
- โรคอ้วนเรื้อรัง: น้ำหนักที่เพิ่มขึ้นขณะตั้งครรภ์อาจยังคงอยู่หลังคลอด ทำให้มีโอกาสเป็นโรคอ้วนในระยะยาว
ผลกระทบต่อลูกน้อย
- ทารกตัวโต: ทำให้การคลอดลำบากขึ้น และอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนระหว่างคลอดได้
- ความผิดปกติของการเจริญเติบโต: ทารกอาจมีปัญหาในการเจริญเติบโตทั้งทางร่างกายและสมอง
- โรคอ้วนในวัยเด็ก: ทารกที่เกิดจากแม่ที่มีน้ำหนักเกิน มีแนวโน้มที่จะเป็นโรคอ้วนเมื่อโตขึ้น
- โรคเรื้อรัง: เช่น เบาหวานชนิดที่ 2 ความดันโลหิตสูง และโรคหัวใจ
ผลกระทบจากการที่แม่ท้องน้ำหนักน้อยเกินไป
การที่คุณแม่ตั้งครรภ์มีน้ำหนักน้อยเกินไปนั้นส่งผลกระทบต่อทั้งคุณแม่และลูกน้อยในครรภ์ได้อย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อการเจริญเติบโตของทารกในครรภ์ ซึ่งอาจทำให้เกิดปัญหาสุขภาพต่าง ๆ ตามมาได้ ดังนี้
ผลกระทบต่อคุณแม่
- ภาวะขาดสารอาหาร: คุณแม่เองก็อาจขาดสารอาหารสำคัญที่จำเป็นต่อการตั้งครรภ์และให้นมบุตร
- ความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อน: การมีน้ำหนักน้อยเกินไปอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนระหว่างตั้งครรภ์ เช่น ความดันโลหิตต่ำ หรือภาวะโลหิตจาง
ผลกระทบต่อทารกในครรภ์
- น้ำหนักตัวน้อยเกินไป: ทารกอาจเกิดมาตัวเล็ก มีน้ำหนักน้อยกว่าเกณฑ์ ซึ่งอาจส่งผลต่อการพัฒนาการในระยะยาวได้
- คลอดก่อนกำหนด: การมีน้ำหนักตัวน้อยเกินไปอาจเพิ่มความเสี่ยงในการคลอดก่อนกำหนด ซึ่งส่งผลกระทบต่ออวัยวะสำคัญต่าง ๆ ของทารกที่ยังไม่พัฒนาสมบูรณ์
- ภาวะขาดสารอาหาร: ทารกอาจได้รับสารอาหารไม่เพียงพอ ส่งผลต่อการเจริญเติบโตของสมองและร่างกาย
- ความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ: ทารกที่มีน้ำหนักน้อยอาจมีระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ ทำให้เสี่ยงต่อการติดเชื้อได้ง่าย
- ปัญหาสุขภาพในระยะยาว: ทารกที่คลอดก่อนกำหนดหรือมีน้ำหนักน้อย อาจมีปัญหาสุขภาพเรื้อรังตามมา เช่น โรคหัวใจ โรคปอด หรือปัญหาการเรียนรู้
ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้น้ำหนักเพิ่มขึ้นผิดปกติ
- อายุ: คุณแม่วัยรุ่นหรือวัยสูงอายุ มีแนวโน้มที่จะมีภาวะแทรกซ้อนมากกว่า
- โรคประจำตัว: โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง หรือโรคอื่น ๆ ก่อนตั้งครรภ์ อาจส่งผลต่อการควบคุมน้ำหนัก
- การตั้งครรภ์หลายครั้ง: การตั้งครรภ์หลายครั้ง การตั้งครรภ์แฝด จะทำให้น้ำหนักเพิ่มขึ้นมากกว่าปกติ
- การรับประทานอาหาร: การรับประทานอาหารที่ไม่เหมาะสม เช่น อาหารที่มีน้ำตาลและไขมันสูง อาจทำให้น้ำหนักเพิ่มขึ้นเร็วเกินไป
- การออกกำลังกาย: การขาดการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมออาจทำให้น้ำหนักเพิ่มขึ้น
วิธีการควบคุมน้ำหนักในช่วงตั้งครรภ์
- ปรึกษาแพทย์: ควรปรึกษาแพทย์เพื่อวางแผนการควบคุมน้ำหนักที่เหมาะสม
- รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่: เน้นอาหารที่มีประโยชน์ เช่น ผัก ผลไม้ ธัญพืช โปรตีน และไขมันดี
- ดื่มน้ำให้เพียงพอ: ช่วยให้ระบบต่าง ๆ ในร่างกายทำงานได้ดี
- ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ: ควรเลือกชนิดของการออกกำลังกายที่เหมาะสมกับสภาพร่างกาย
- หลีกเลี่ยงอาหารแปรรูป: อาหารแปรรูปมักมีโซเดียมและน้ำตาลสูง ควรหลีกเลี่ยง
- พักผ่อนให้เพียงพอ: การพักผ่อนอย่างเพียงพอจะช่วยให้ร่างกายแข็งแรง
การเปลี่ยนแปลงของน้ำหนักในช่วงตั้งครรภ์เป็นเรื่องปกติ แต่การติดตามน้ำหนักอย่างสม่ำเสมอและปรึกษาแพทย์เป็นสิ่งจำเป็น เพื่อให้มั่นใจว่าทั้งคุณแม่และทารกมีสุขภาพที่ดี
ขอขอบคุณข้อมูลจาก : nakornthon.com, bpk9internationalhospital.com
บทความอื่น ๆ ที่น่าสนใจ :
ไขข้อสงสัย! คุณแม่ท้องน้ำหนักเกิน เสี่ยงเบาหวานขณะตั้งครรภ์ กินอย่างไรให้สุขภาพดี?
แม่ท้องน้ำหนักตัวเกิน ส่งผลร้ายต่อลูกในท้องอย่างไร ผลวิจัยมีคำตอบ
เซ็กส์ตอนตั้งครรภ์ มีได้ใช่ไหม ปลอดภัยหรือเปล่า