ข้อคิดดี ๆ สำหรับชีวิตคู่ เพื่อให้ชีวิตคู่นั้นหอมหวานตลอดไป

ปัจจุบันนี้สถิติการหย่าร้างมีเพิ่มสูงขึ้น ทำให้คนที่เคยรักกันกลายเป็นคนเกลียดกัน มีพ่อแม่เลี้ยงเดี่ยวเพิ่มมากขึ้น เรามีข้อคิดดี ๆ สำหรับชีวิตคู่มาฝากค่ะเผื่อว่าจะช่วยให้คุณรักษาความสัมพันธ์และนึกถึงอดีตว่าทำไมคุณถึงรักคู่ชีวิตของคุณมากขนาดนี้

ข้อคิดดี ๆ สำหรับชีวิตคู่ เพื่อให้ชีวิตคู่นั้นหอมหวานตลอดไป

ข้อคิดดี ๆ สำหรับชีวิตคู่

ปัจจุบันนี้สถิติการหย่าร้างมีเพิ่มสูงขึ้น ทำให้คนที่เคยรักกันกลายเป็นคนเกลียดกัน ข้อคิดดี ๆ สำหรับชีวิตคู่ เพื่อให้ชีวิตคู่นั้นหอมหวานตลอดไป

สามีภรรยาคือเพื่อนที่ดีของกันและกัน

ที่จริงแล้ว สามีภรรยาก็คือเพื่อนที่ดีที่สุดของกันและกัน แต่เป็นเพื่อนที่มาใกล้ชิดกันเพราะความรักที่มีต่อกัน เพราะความรักนั่นเอง จึงทำให้คนสองคนสามารถผลิตคุณภาพอันดีงามต่าง ๆ ของตนออกมาเพื่อประคับประคองชีวิตคู่ไปได้ตลอดรอดฝั่ง เช่น มีเมตตากรุณาต่อกันและกัน ให้ความเกรงอกเกรงใจกัน ให้การยกย่องซึ่งกันและกัน ยอมเสียสละ ประนีประนอม พยายามเข้าใจความรู้สึกของกันและกัน และที่สำคัญที่สุดคือ ต้องอดทนให้มากและเห็นแก่ตัวให้น้อยที่สุด สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นข้อปฏิบัติที่พระพุทธเจ้าได้ทรงวางไว้แล้วทั้งสิ้น มันจึงแตกต่างกันมากระหว่างเพื่อนสองคนที่มาเช่าบ้านอยู่ด้วยกัน เขาจะอยู่ด้วยกันได้ก็เพียงชั่วคราวเท่านั้น เมื่อทนทะเลาะกับกิเลสของฝ่ายตรงข้ามไม่ไหวแล้ว ต้องมีวันหนึ่งที่ขัดใจกันและแยกย้ายกันไป  แต่สามีภรรยาที่มาเช่าบ้านอยู่ด้วยกันนั้น ที่จริงเขาก็เป็นเพื่อนของกันและกัน แต่สามารถอยู่ได้รอดเพราะความรัก จึงทำให้เขาทั้งสองเต็มใจที่จะเห็นแก่ตัวเองน้อยลง  ถ้าปราศจากความรักอันเหมือนสะพานที่นำไปสู่คุณสมบัติอันดีงามดังกล่าวแล้ว คนสองคนจะอยู่รอดได้ยากมาก จะเหมือนกับคนสองคนมาเช่าบ้านอยู่ด้วยกันเท่านั้น เมื่อทนความเห็นแก่ตัวของแต่ละฝ่ายไม่ได้ ก็ต้องหย่าร้าง เลิกรากันไป

ข้อคิดดีๆ

เติมสีสันให้ชีวิต แต่งงาน

หลังงานแต่งงานของคู่สมรสใหม่ มารดาเจ้าสาวได้มอบสมุดบัญชีธนาคารเปิดใหม่ มีเงินฝาก 1,000 เหรียญ พร้อมกล่าวว่า “ลูกรัก เก็บสมุดบัญชีนี้ไว้สำหรับบันทึกการใช้ชีวิตคู่ของลูก เมื่อไรก็ตามที่ลูกทั้งสองมีความสุข หรือมีเหตุการณ์ที่ควรค่าแก่การจดจำเกิดขึ้น ให้ลูกนำเงินจำนวนหนึ่งมาเข้าบัญชีนี้พร้อมกับบันทึกไว้เพื่อเตือนความจำว่าเป็นเหตุการณ์เกี่ยวกับอะไร ยิ่งเป็นเรื่องที่น่าประทับใจ ก็ให้เพิ่มจำนวนเงินที่ฝาก แม่ขอเป็นคนแรกที่เริ่มต้นความทรงจำนี้ในวันแต่งงานของลูก ที่เหลือขอให้ลูกทำร่วมกันกับสามีของลูก ถ้าลูกได้กลับมาเปิดดูสมุดบัญชีเล่มนี้ดูอีกครั้ง ลูกจะรู้สึกได้ถึงความสุขต่าง ๆ ที่ลูกทั้งคู่ได้ผ่านกันมา”

เจ้าสาวเล่าเรื่องนี้ให้สามีของเธอฟัง ทั้งสองไม่รีรอที่จะทำตามคำแนะนำของมารดา ต่อไปนี้คือสิ่งที่บันทึกในสมุดบัญชี

  • 7 ก.พ. ฉลองวันเกิดของบ๊อบครั้งแรกหลังแต่งงาน ฝากเงิน 100 เหรียญ
  • 1 มี.ค. เจนได้เงินเดือนเพิ่มขึ้น ฝากเงิน 300 เหรียญ
  • 20 มี.ค. ลาพักร้อนไปเที่ยวบาหลี ฝากเงิน 200 เหรียญ
  • 15 เม.ย. เจนตั้งครรภ์ ฝากเงิน 2,000 เหรียญ
  • 1 มิ.ย. บ๊อบได้เลื่อนตำแหน่ง ฝากเงิน 1,000 เหรียญ
  • และอื่น ๆ อีกหลายต่อหลายครั้งของการฝากเงินที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ที่น่าจดจำ

เวลาผ่านไปหลายปีทั้งสองเริ่มทะเลาะและขัดแย้งกันแม้แต่เรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ไม่ค่อยพูดจากัน และรู้สึกเสียใจที่ตัดสินใจผิดที่แต่งงานกัน ทั้งคู่รู้สึกว่าไม่มีความรักต่อกันอีกแล้ว วันหนึ่งหญิงสาวพูดกับมารดาว่า “แม่คะ หนูจะไม่ทนอีกต่อไปแล้ว หนูจะหย่า หนูนึกไม่ออกจริง ๆ ว่า ทำไมตอนนั้นหนูถึงตัดสินใจแต่งงานกับผู้ชายคนนี้ได้” มารดาตอบว่า “ถ้าลูกทนไม่ได้แล้ว ก็จงทำตามที่ลูกต้องการเถิด แต่ก่อนอื่นลูกต้องทำสิ่งหนึ่งเสียก่อน ยังจำสมุดบัญชีที่แม่มอบให้ลูกในงานแต่งงานได้ไหม จงไปปิดบัญชีแล้วนำเงินออกมาใช้จ่าย ลูกไม่ควรเก็บความทรงจำที่เลวร้ายของชีวิตแต่งงานเอาไว้”

หญิงสาวเห็นด้วยจึงไปที่ธนาคาร ระหว่างรอคิวเพื่อปิดบัญชี เธอก็อ่านสิ่งที่เคยบันทึกไว้ ขณะที่เธออ่าน อ่าน และอ่าน ความทรงจำที่มีความสุขก็หลั่งไหลกลับมา หญิงสาวน้ำตานองหน้า ออกจากธนาคารแล้วกลับบ้านเมื่อถึงบ้านเธอส่งสมุดบัญชีให้สามีและบอกเขาให้ไปถอนเงินออกมาก่อนที่จะหย่ากัน

วันรุ่งขึ้นเขาจึงไปธนาคาร ระหว่างรอคิวเพื่อปิดบัญชี เขาก็อ่านสิ่งที่เคยบันทึกไว้ ขณะที่เขาอ่าน อ่าน และอ่าน ความทรงจำที่มีความสุขก็หลั่งไหลกลับมา ชายหนุ่มน้ำตาเอ่อคลอ ออกจากธนาคารแล้วกลับบ้าน

เขามอบสมุดบัญชีคืนให้กลับภรรยา เธอเปิดดูพบว่ามีเงินฝากเพิ่มขึ้นอีก 5,000 เหรียญ และมีลายมือบันทึกไว้ว่า “วันนี้เป็นวันที่ผมรู้แล้วว่า ผมรักคุณมากเพียงใดตลอดเวลาที่ผ่านมา ผมมีความสุขมากแค่ไหนที่มีคุณอยู่เคียงข้างมาตลอด” ทั้งสองกอดกันและร้องไห้ร่วมกัน หลังจากนั้นก็นำสมุดบัญชีกลับไปเก็บไว้ในตู้เซฟดังเดิม

เรียนรู้จากการใช้ชีวิตคู่

เติ มสีสันให้ชีวิตแต่งงาน

บางครั้ง เรื่องที่ฟังดูง่าย ๆ นั้นกลับเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ยากมาก ก่อนแต่งงาน เราไม่เข้าใจว่าทำไมการเห็นลูกแต่งงานเป็นฝั่งเป็นฝาช่างเป็นเรื่องสำคัญต่อพ่อแม่มาก ทำไมเขาจึงบอกว่าจะได้หายห่วงเสียที ทำไมพ่อเราจึงอยากเอาส้วมออกจากหน้าบ้าน เพราะเราคิดเสมอว่า แม้เป็นผู้หญิง หากสามารถทำงานหาเงินได้ ก็น่าจะพึ่งพาตัวเองได้เช่นกัน เพิ่งมาเข้าใจอย่างแท้จริงก็เมื่อได้ใช้ชีวิตคู่มา ๒๐ ปีแล้วนี่เอง

 ธรรมชาติของมนุษย์นั้น เมื่อมีปัญหาขัดข้องใจก็ย่อมอยากปรับทุกข์กับคนที่เข้าใจเราได้ หรือเมื่อมีข่าวดีก็อยากเห็นคนอื่นดีใจกับเราด้วย นอกจากพ่อแม่ซึ่งเป็นผู้ที่รักเราอย่างไม่มีเงื่อนไข เป็นห่วงเป็นใยเรา เต็มใจรับฟังเรื่องสุขทุกข์ของเราอย่างใจจดใจจ่อแล้ว จะหาคนอื่นที่สามารถทำสิ่งเหล่านั้นกับเราได้ยากมากนอกจากสามีหรือภรรยาที่รักกันจริง ๆ เท่านั้น นอกจากใครโชคดีมากพอที่มีเพื่อนหรือพี่น้องที่สนิทมากจริง ๆ ที่สามารถดีใจกับข่าวดีและเสียใจกับข่าวร้ายของเราได้  เพราะในโลกของสมมุตินั้น แม้แต่พี่น้องเพื่อนสนิทก็ยังอดอิจฉากันไม่ได้

เติมสีสัน ให้ชีวิตแต่งงาน

นอกจากนั้น คนเรายังมีปัญหาสุขภาพ ถ้ายังอยู่ในความดูแลของพ่อแม่แล้ว เมื่อไม่สบาย พ่อแม่ก็ต้องดูแลเราโดยอัตโนมัติเพราะท่านรักเรา แต่พ่อแม่ก็ไม่ได้อยู่ยงคงกระพัน ท่านต้องแก่เฒ่าชราและจากเราไปในที่สุด หลังจากนั้นแล้วใครจะดูแลเราหากไม่ใช่สามีหรือภรรยาของเรา จะให้พี่น้องหรือเพื่อนมาดูแลเมื่อไม่สบายหรือ ย่อมเป็นไปไม่ได้ นอกจากใครมีพี่น้องดีก็อีกเรื่องหนึ่ง ฉะนั้น การมีคู่ชีวิตนั้นก็เป็นเรื่องดีในแง่ที่ว่า อย่างน้อยมีเพื่อนที่ดีที่สุดคนหนึ่งที่สามารถพูดคุยปัญหาสุขทุกข์ด้วยได้ สามารถปลอบประโยนเราได้เมื่อมีปัญหา สามารถดูแลรักษาพยาบาลเราได้เมื่อเจ็บไข้ได้ป่วย เมื่อเราสุขเขาก็สุขกับเรา เมื่อเราทุกข์เขาก็ทุกข์กับเรา เพราะธรรมชาติของคนล้วนเป็นสัตว์สังคมที่ต้องการเพื่อนทั้งสิ้น

การมีชีวิตคู่จึงเหมือนเป็นสิ่งที่ธรรมชาติออกแบบมาให้คนสองคนอยู่ด้วยกันโดยใช้ความรักและเพศสัมพันเป็นเครื่องประสาน นี่คือสิ่งที่เราได้เรียนรู้จากการใช้ชีวิตคู่ ซึ่งที่จริงก็เป็นเรื่องที่ดูเหมือนง่ายต่อการเข้าใจและคิดว่าได้เข้าใจแล้วตั้งแต่ยังไม่ได้แต่งงาน แต่ความซาบซึ้งก็ยังไม่มากเท่าบัดนี้ เรื่องการเข้าใจชีวิตนั้นเป็นเรื่องที่ข้ามขั้นตอนไม่ได้ เหมือนกับตอนนี้ที่เราพยายามจะให้ลูกเข้าใจในหลาย ๆ เรื่องของชีวิต แต่พูดอย่างไรเขาก็ไม่เข้าใจ

บทความโดย

theAsianparent Editorial Team