สามีและฉันเชื่อแบบหมดใจเลย กับคำพูดที่ว่า “ประสบการณ์คือครูที่ดีที่สุด” เมื่อเป็นเรื่องสอนลูกจัดการเงิน มันก็ใช้ได้เช่นกัน
ไม่น่าแปลกใจเลย เพราะรูปแบบการเลี้ยงลูกของเรา ไปตรงกับแบบนักสำรวจ (อยากรู้ไหมว่าคุณเป็นแบบไหน ลองทำแบบทดสอบดูสิ) นักสำรวจคือพวกที่เชื่อว่าประสบการณ์ในชีวิตจริง เป็นวิธีที่ดีที่สุดให้เด็กได้เรียนรู้การจัดการเงิน เราเลยส่งลูกชายสองคนอายุแปดและห้าขวบ ออกไปซื้อของที่ร้านอุปกรณ์เครื่องเขียน มันเป็นแบบนี้นะ
แผนการ
เราให้เงินลูกแต่ละคนห้าดอลลาร์ และบอกลูกว่าให้ซื้ออะไรก็ได้ที่อยากซื้อ เราไม่ได้ทำรายการบอกว่าให้ซื้ออันไหนและห้ามซื้ออันไหน และจะรอลุ้นอยู่หน้าร้านว่าลูกจะซื้ออะไรมา
เรื่องราวก่อนหน้านั้นน่ะ จริงๆ แล้วนี่เป็นครั้งสองของลูกชายคนโต ตอนที่เขาอายุสี่ขวบ เราทำแบบเดียวกันนี้แหละ ถึงแม้ว่าตอนนั้นเขาจะไปคนเดียว แต่เราก็อยากจะดูว่าเขาเรียนรู้จากประสบการณ์ในอดีตไหม
แล้วเหตุผลของเราน่ะเหรอ ง่ายๆ เลยนะ ในฐานะนักสำรวจ เราเชื่อว่าการเรียนรู้เกิดขึ้นเองผ่านการลองผิดลองถูก ถ้าลูกทำผิด ก็ไม่เป็นไร ลูกจะเรียนรู้จากความผิดพลาด เราเชื่อว่าการคอยจ้ำจี้จ้ำไชหรือคอยจัดการให้ลูกไปซะทุกเรื่อง จะสร้างผลเสียมากกว่าผลดี ดังนั้นไม่มีอะไรมาแทนประสบการณ์ชีวิตได้จริงๆ ในการสอนลูกให้จัดการเงิน
เหตุการณ์เป็นยังไง
แรกๆ ก็ตื่นเต้น โดยเฉพาะลูกชายคนเล็ก เห็นได้ชัดว่าตื่นเต้นมาก เขาเดินตาลุกวาวไปรอบๆ ร้าน อยากจะซื้อทุกอย่างที่มือหยิบจับได้ เขาสับสนระหว่างเงินห้าดอลลาร์กับห้าสิบดอลลาร์ และคิดว่าเขาสามารถซื้ออะไรก็ได้ที่มีเลขห้าอยู่ ที่น่าสนใจก็คือ พี่ชายของเขาให้คำแนะนำและเหมือนจะร่วมมือกัน (ร่วมมือกันครั้งเดียวแหละ)
- วิเคราะห์กำลังซื้อ
ลูกชายคนโตของเราอธิบายให้น้องชายคร่าวๆ ว่าใช้เงินห้าดอลลาร์ซื้ออะไรได้บ้าง เขายกตัวอย่างครั้งก่อนที่เคยมาซื้อของ รวมถึงที่พ่อเคยบอกไว้ว่าอันไหนราคาเกินตัว
จากนั้นเขาก็สรุปโดยชี้ไปที่หมวดตุ๊กตาและเครื่องใช้ไฟฟ้า และบอกว่าซื้อไม่ได้ ก่อนที่จะไปต่อ เขาก็สอนน้องชายเรื่องการตัดออก ซึ่งเราพบว่ามันน่าสนใจดี
- การวางแผนคือสิ่งสำคัญ
ขณะที่ลูกคนเล็กวิ่งไปมาอย่างตื่นเต้น ลูกคนโตก็บอกให้น้องหยุดและบอกว่า “ทำไมไม่ลองมาคิดกันดูล่ะ ว่าเราต้องการอะไร”
ลูกคนเล็กตอบกลับไปว่า อยากไปดูก่อนว่ามีอะไร ลูกๆ เดินในร้านสักพัก ก่อนจะไปหยุดตรงมุมร้านในสภาพคิ้วขมวด หยุดคุยกันแบบจริงจัง
ตอนลูกๆ มาเล่าให้ฟังทีหลัง ฉันประหลาดใจมาก ลูกๆ เรียนรู้ความแตกต่างระหว่างความจำเป็นและความต้องการด้วยตัวพวกเขาเอง อยากรู้ว่าถ้าเราให้ทำแบบนี้อีกครั้งโดยบอกล่วงหน้าก่อน พวกเขาจะเตรียมรายการของที่จะซื้อมาไหม
- ควบคุมความต้องการ
หลังจากลูกเอาของเล่นเล็กๆ หลายอย่างใส่ตะกร้า พวกเขาก็เจอที่ว่างในร้านและนั่งลงเพื่อดูของที่หยิบมา ที่ฉันประหลาดใจก็คือ ลูกคนเล็กพูดว่า “แม่หยิบของใส่รถเข็นในซูเปอร์มาร์เก็ต แล้วก็หยิบบางชิ้นกลับไปวางบนชั้นตลอดเลย เรามาทำแบบนั้นกันดีกว่า”
ชัดเจนว่าลูกๆ ซื้อทุกอย่างไม่ได้ พอพวกเขาคิดว่าชิ้นไหนที่ต้องการจริงๆ ก็เริ่มเอาของที่หยิบมาแบบไม่ได้คิดเยอะออกไป
- ใช้จ่ายอย่างคุ้มค่า
ลูกชายคนโตนำการวิเคราะห์ที่พ่อเคยบอกมาใช้ ซึ่งเขาได้จากการไปซื้อของที่ร้านขายลูกอมเมื่อครั้งก่อน เขาบอกน้องชายว่าเจอสิ่งที่มาเป็นชุดหรือเป็นแพค ก็จะซื้อได้จำนวนเยอะ ในราคาที่ถูก
- อย่าใช้จ่ายจนหมด
เมื่อลูกๆ พอจะเลือกสิ่งที่ต้องการได้แล้ว พวกเขาก็ตรวจดูอีกรอบ ทั้งคู่เห็นตรงกันว่าอยากเอาเงินบางส่วนไปหยอดกระปุกที่บ้านด้วย
ลูกคนโตเรียนรู้บทเรียนสำคัญนี้ จากการเก็บเงินค่าขนมไว้ซื้อของที่ชอบตอนสิ้นเทอม ลูกคนเล็กดูพี่คนโตและเข้าใจว่าควรเอาเงินบางส่วนไปหยอดกระปุกเสมอ
เราค่อนข้างดีใจที่นิสัยในการออมเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของพวกเขาไปแล้ว เราดีใจยิ่งขึ้นไปอีกเมื่อพวกเขาไม่ได้ขอให้เราช่วยออกเงินเพิ่มให้ เพราะเราบอกไปชัดเจนแล้วว่าเราจะไม่ทำแบบนั้น
คิดถึงคนอื่น
พอลูกๆ เดินออกจากร้าน พวกเขายิ้มร่าและเอาเงินทอนมาเล่นให้เกิดเสียง แต่แล้วพวกเขาก็กลับเข้าร้านไป เรางงกันนิดหน่อย แต่ก็ชื่นใจที่พบว่าพวกเขารวมเงินที่เหลือแล้วเอาไปซื้อของให้น้องสาว
ลูกๆ เดินออกมาเป็นรอบที่สองอย่างผู้ชนะ โดยมีคนหนึ่งถือยางรัดผมสีชมพู ส่วนอีกคนให้เราดูว่ายังมีเงินเหลืออยู่ ลูกๆ เลือกซื้อของด้วยตนเอง ถกเถียงกันเพื่อซื้อสิ่งที่ต้องการจริงๆ (รวมถึงซื้อให้น้องสาวด้วย เรานึกไม่ถึงเลย) และยังมีเงินเหลือด้วย ถือว่าสำเร็จแล้ว ! นั่นแหละคือสิ่งที่ดีที่สุดของวันเลย
จากทั้งหมดนี้ มันเป็นประสบการณ์ที่น่าตื่นใจ เรารู้สึกพึงพอใจที่ลูกชายคนโตจำประสบการณ์ที่ออกไปซื้อของเมื่อครั้งที่แล้วได้ และสามารถนำสิ่งที่เรียนรู้มา ไปแนะแนวทางให้น้องชายได้
เราเชื่อจริงๆ ว่าลูกของเราเริ่มเข้าใจแนวคิดเกี่ยวกับสิ่งที่ใช้เงินซื้อได้ ผ่านจากประสบการณ์ของลูกๆ เอง รวมไปถึงการที่ลูกสังเกตพฤติกรรมการใช้จ่ายของเราด้วย อย่างที่นักสำรวจของเราต้องการเลย
ฉันก็บอกไม่ได้ว่าเราทำหน้าที่ในการสอนลูกเรื่องเงินได้อย่างดีเยี่ยม หรือว่าการเลี้ยงลูกแบบเรามันจะยอดเยี่ยมไม่มีทางล้มเหลว แต่จากที่เห็นแล้ว ฉันคิดว่าเราไปได้สวยในเส้นทางการสอนลูกเรื่องเงิน และเราอยากเพิ่มประสบการณ์แบบนี้ให้ลูกได้เรียนรู้อีก