อย่าบังคับลูกเรียนมากเกินไป เพราะลูกอาจจะเป็นแบบนี้
อย่าบังคับลูกเรียนมากเกินไป เป็นการเตือนสติพ่อแม่เพื่อไม่ให้เกิดเหตุกาณ์ที่ต้องทรมานทั้งชีวิต ซึ่งเป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นกับครอบครัวหนึ่งที่พ่อแม่พยายามมอบสิ่งที่คิดว่าดีที่สุดให้กับลูก โดยไม่รู้ว่าสิ่งเหล่านั้นที่พวกเขาพยายายามเหยียดให้ลูก จะทำให้เขาต้องสูญเสียความน่ารักสดใสของลูกชายเพราะตอนนี้ลูกคนนั้นได้กลายเป็นคนที่สติหลุด ปิดกั้นตัวเองจากทุกสิ่งทุกอย่างแล้วอยู่แต่ในโลกของจินตนาการของตัวเอง ขนาดคุณหมอที่ให้คำปรึกษาและคอยดูแลลูกน้อยก็ไม่สามารถจะรู้ได้ว่าเมื่อไหร่เด็กถึงจะยอมเปิดใจ
เรื่องจริงจากพ่อแม่ที่ให้ลูกเรียนมากเกินไป
เรื่องราวที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องจริงจากผู้โพสต์คนหนึ่ง ที่ต้องการแชร์ประสบการณ์ของตนเพื่อเป็นอุทาหรณ์ให้กับคนในครอบครัวที่พยายามยัดเยียดการเรียนให้กับลูก เพียงเพราะอยากให้ลูกสานฝันของพ่อแม่ให้เป็นจริงจนมองข้ามชีวิตของลูกไป
คุณพ่อท่านนี้จบวิศวกรมาเป็นคนที่เก่งมาก ส่วนคุณแม่จบมหาวิทยาลัยเอกชน เกียรตินิยมอันดับ 2 ด้านภาษาต่างประเทศ ทั้งสองเหมาะสมกันมาก ฐานะก็ดี ปัจจุบันลูกอายุ 7 ขวบกว่าแล้ว ซึ่งผู้โพสต์เป็นเพื่อนของสามีภรรยาคู่นั้น และกำลังมีลูกอยู่ในวัย 4 ขวบ ต้องการที่จะหาข้อมูลเรื่องการเรียนของลูกจึงปรึกษาหลายคนมาก และนี่คือจุดเริ่มต้นที่อยากจะเล่าให้ฟัง
พอได้โทรไปถามเรื่องลูก สิ่งที่ได้กลับมาคือเสียงร้องไห้ เราตกใจมากจึงถามว่า “เฮ้ย! แกเป็นอะไร” เพื่อนก็บอกว่า “อึดอัด จะบ้าอยู่แล้ว ปรึกษาใครไม่ได้ ทุกวันนี้ถูกตราหน้าว่าเป็นคนผิด ผิดอย่างร้างกายจากครอบครัวของสามีและแม่ตัวเอง” ด้วยความที่เพื่อนและสามีเป็นคนที่เสียเงินเท่าไหร่ไม่ว่าแต่เสียหน้าไม่ได้จึงไม่กล้าปรึกษาใครเลย แต่ด้วยความอึดอัด เพื่อนจึงเล่าว่า…
ลูกชายเริ่มเข้าเรียนตอน 3 ขวบกว่าๆ ในโรงเรียนชื่อดังแห่งหนึ่ง ค่าเทอมเป็นแสนอยู่ในสังคมที่ดี เพื่อนดี ด้วยความที่เป็นโรงเรียนดังพ่อแม่จึงอยากผลักดันเต็มที่ จึงวางแผนให้ลูกได้ติวหนังสือตั้งแต่เล็กๆ ด้วยความที่มีเงินก็จัดให้ลูกได้เรียนกับฝรั่งคนนี้ ต้องเรียนเสริมเรื่องอะไร หากเจอที่เด็ดๆ ก็จะไม่บอกใคร
หลังจากเตรียมทุกสิ่งทุกอย่าง ลูกก็ต้องเรียนทุกวันจันทร์ – ศุกร์ ตั้งแต่เช้ายัน 6 โมงเย็น และต้องใช้ชีวิตแบบนี้ตั้งแต่ อนุบาล 1 ถึง อนุบาล 3 ให้เข้านอน 3 ทุ่ม ตื่นนอน ตี 5 ครึ่ง ออกจากบ้านไม่เกิน 6 โมงเพราะบ้านอยู่ห่างจากโรงเรียนค่อนข้างมาก และไปถึงโรงเรียนตอน 7 โมง ไม่พอวันเสาร์ต้องเรียนพิเศษเสริมอีก เริ่ม 8 โมงถึงบ่ายโมง เรียนเสร็จบ่าย 3 ไปเรียนว่ายน้ำต่อ ส่วนวันอาทิตย์ ครึ่งเช้าให้เรียนเสริมของคุมอง ครึ่งบ่ายพักผ่อน พอ 1 ทุ่ม ก็ให้ทบทวนงานเตรียมพร้อมสำหรับเริ่มเรียนวันจันทร์ และได้รับคำแนะนำจากพ่อแม่ต่อ
จากการพูดคุยจึงรู้ว่าลูกไม่มีเพื่อนที่หมู่บ้านเลยสักคน เพราะไม่ได้คุยกับใครปั่นแต่จักรยานอยู่คนเดียว แต่มีอยู่วันหนึ่ง วันนั้นเป็นวันอาทิตย์ ลูกปั่นจักรยานไม่ยอมเข้าบ้าน แม่พยายามเรียกให้มาอาบน้ำ เตรียมกินข้าวและทบทวนการบ้าน เพราะตอนนั้น 6 โมงเย็นแล้ว แต่ลูกไม่ฟังจนตะโกนเสียงดังว่า “เข้าบ้านเดี๋ยวนี้ เข้าบ้านเลย ทำไมดื้ออย่างนี้ ยิ่งโตยิ่งดื้อ จะไม่ให้ขี่จักรายานอีกต่อไป” สามีที่โมโหอยู่เหมือนกันก็ไปดึงจักรยานออกจากลูก และคนเป็นแม่ก็จับลูกพร้อมบอกว่า “ป๋าโยนจักรยานทิ้งซะ ถ้าทำอย่างนี้อีก!”
จังหวะนั้นลูกชายรีบเข้าไปกอดขาพ่อ ยกมือไหว้และบอกว่า “ป๋าอย่าทำ หนูไม่มีเพื่อนที่ไหน จักรยานคือเพื่อนของหนู หนูมีจักรยานเป็นเพื่อนเท่านั้น ป๋าอย่าทำนะ” ซึ่งตอนนั้นคนเป็นพ่อเป็นแม่ไม่ได้ใส่ใจเท่าไหร่ เพราะต้องการให้เข้าไปอ่านหนังสือเท่านั้น
ต่อมา ลูกกลับมาบ้านคุยกับพ่อแม่อยากดูอุลตร้าแมน มดเอ๊กซ์ เห็นเพื่อนๆ ที่โรงเรียนคุยกันก็คุยไม่รู้เรื่อง เพื่อนที่โรงเรียนถามว่าที่บ้านไม่มีทีวีหรือไง เพราะลูกดูแต่การ์ตูนเสริมความรู้อย่าง ดอร่า หมาบลู แล้วก็ดุลูกว่า “ลูกอย่าทำตัวไร้สาระได้หรือเปล่า ตอนนี้เพื่อนๆ ลูกอยากทำอะไรก็ปล่อยเค้าไป การ์ตูนรุนแรงไม่เสริมความรู้อะไรเลย เราได้เปรียบ เราใช้เวลาทบทวนและเรียน ในขณะที่คนอื่นเค้าไร้สาระ ลูกลองคิดดู โตขึ้นลูกจะเป็นนายของคนพวกนี้ และคนพวกนี้จะไม่เหนือลูกเด็ดขาด”
ทั้งเพื่อนและสามีจะสอนลูกประมาณนี้ตลอด คอยให้สิ่งที่ดีที่สุดที่คนทั่วไปบางคนทำไม่ได้ โดยการยัดเยียดการเรียน มาหนักสุดเอาตอนติวเข้า ป.1 เวลาเล่นน้อยมากแต่ก็ได้ติดในโรงเรียนที่หวังไว้ และต้องเรียนเสริมเหมือนเดิม จนวันหนึ่งลูกทนไม่ได้ โกรธจนตัวสั่นและพูดว่า “เค้าจะไม่เป็นคนดี เค้าเบื่อที่สุดแล้ว เค้าอยากเล่นฟุตบิล เค้าอยากวิ่งเล่น อยากดูการ์ตูน อยากอ่านขายหัวเราะ ให้พ่อแม่อนุญาตให้อ่าน เค้าเกลียดพ่อแม่ ทำไมต้องบังคับ ทำไมต้องอาย ทำไม เค้าจะเป็นคนชั่ว”
ลูกพูดลิ้นพันกัด ตัวสั่น อยากพูดอะไรก็พูดเหมือนระบายออกมา ร้องไห้ ตาแดง กำหมัด ขว้างปาข้าวของ เสียงดัง ระหว่างนั้นพ่อแม่ก็ใช้เสียงดังเพื่อให้ลูกหยุดพฤติกรรมดังกล่าว แต่ไม่ได้ผลลูกยิ่งดังใส่แล้วก็เป็นลมไปเลย
เวลาต่อมาทางโรงเรียนมีจดหมายมาเชิญผู้ปกครองให้ไปพบ พอไปถึงครูบอกว่า “ตอนนี้น้องมีอาการเหม่อลอย ไม่มองกระดาน และไม่มีปฏิสัมพันธ์กับเพื่อนแม้แต่คนเดียว ให้ทำอะไรทำได้หมด แต่ทำให้หมดจบๆ ไป ไม่มีอารมณืร่วมแม้แต่น้อย บางครั้งก็มีน้ำตาเอ่อแต่ไม่ไหลออกมาเป็นระยะ และพูดน้อยลงใช้ตายตาและท่าทางคิดมากขึ้น”
เพื่อนและสามีไม่เชื่อและไม่ยอมรับ สักพักจึงพาไปพบคุณหมอ คุณหมอบอกว่า น้องกระทบกระเทือนทางจิตใจอย่างแรง บวกกับความเก็บกดภายในสิ่งที่ฝืนความรู้สึกมานาน จนระเบิดออกมาเหมือนคนเสียสติ เค้าไม่ได้บ้า หรือพิการทางสมอง แต่เค้าปิดกั้นทุกสิ่งทุกอย่างเอง ไม่รับเอง ไม่เอาเอง ซึ่งน่าวิตกตรงที่ เมื่อไหร่เค้าจะรับและเปิดใจกลับมาเหมือนเดิม สมาธิและจิตใจได้ถูกตัดด้วยตัวเค้าเอง เค้าอยากอยู่แต่ในจินตนาการที่เค้าคิดว่านั้นคือความสุขของเค้า ไม่อยากออกมาเลยด้วยซ้ำ
คุณหมอยังกล่าวต่อว่า คงต้องใช้เวลามาก เพราะถ้ารู้ว่าเด็กสมาธิสั้นเรามีทางแก้ ถ้าเค้าเป็นดาวน์เรารู้วิธี แค่เค้าเลือกเองที่จะปิดตัวเองอย่างเด็ดขาด ถ้าปล่อยไว้จะกลายเป็นคนวิกลจริตทางความคิดในอนาคต ทุกวันนี้สามีก็ยอมรับในระดับหนึ่งแต่เริ่มโทษทางภรรยามากกว่าตัวเอง ทำให้ทางภรรยาเป็นคนรับกรรมเต็มๆ เพราะลูกไม่สามารถเรียนได้แล้ว ต้องพบจิตแพทย์เด็กโดยตรง ถึงตรงนี้มันบอกว่า มันเรียกลูกกลับมาไม่ได้แล้วจริงๆ มันเศร้ามาก สุดท้ายก็กำชับไม่ให้บอกใครเพราะรู้สึกอาย…
อ่านเรื่องราวนี้ต่อ…
ยัดเหยียดการเรียนให้ลูก มีผลเสียกับลูกจริงหรอ?
แพทย์หญิงอัญชุลี ธีระวงศ์ไพศาล จิตแพทย์เด็กและวัยรุ่น ได้เปิดเผยข้อมูลว่า ปัจจุบันพ่อแม่นิยมส่งเสริมความฉลาดทางไอคิวจนลืมส่งเสริมความฉลาดทางอารมณ์หรืออีคิวให้ลูก พอลูกเรียนมากไปก็จะกลายเป็นปัญหาทางอารมณ์
จากการตรวจรักษาผู้ป่วยเด็กที่มาหาจิตแพทย์ พบว่า เด็กที่ถูกพ่อแม่ยัดเยียดให้เรียนหนังสือมากเกินไป เพราะดลัวลูกเรียนไม่เก่ง มีอาการซึมเศร้า เครียดง่าย งอแง ฉุนเฉียว หงุดหงิดง่าย ร้องไห้ไม่มีสาเหตุ นอนไม่หลับ เป็นต้น จะพบมากในเด็กที่เรียนตั้งแต่ชั้นอนุบาล อายุ 4-5 ขวบ ไปจนถึงระดับมหาวิทยาลัย ซึ่งคนที่เครียดมากๆ สมองจะหลั่งสารบางอย่างออกมา ทำให้เซลล์สมองฝ่อ ไม่เจริญเติบโต แทนที่เรียนมากจะฉลาดขึ้น บางที่อาจตรงข้ามก็ได้เพราะเครียดมาก
คุณหมอได้เตือนมาว่า การที่พ่อแม่หวังดีและมอบแต่สิ่งดีๆ ให้ลุกเป็นสิ่งที่ถูกต้อง แต่ในบางครั้งก็ควรตระหนักถึงวัยและความเหมาะสมของลูกๆ ด้วย เพราะเด็กก็คือเด็ก พวกเขามีสิทธิที่จะเรียนรู้สิ่งรอบๆ ข้าง เพื่อให้เติบโตมาฉลาดอย่างสมวัย มากกว่าการใช้ชีวิตที่ประสบความสำเร็จตามความฝันของพ่อแม่ ไม่เช่นนั้นจะกลายเป็นพ่อแม่รังแกฉันเหมือนกับกรณีนี้ได้
พ่อแม่หลายคนมองว่าลูกเป็นทุกสิ่งทุกอย่าง คือความฝัน คือความหวัง คือหน้าตา คือชีวิตของพ่อแม่ ยอมทุ่มทุกอย่างให้ลูก เมื่อลูกไม่เป็นอย่างที่ตั้งใจไว้ก็จะรู้สึกเสียใจเหมือนว่าทุกสิ่งทุกอย่างได้สูญเสียหายไปหมด คราวนี้ก็อยู่กับคุณพ่อคุณแม่ว่าจะใช้ชีวิตอยู่กับสิ่งที่สูญเสียอย่างไร พ่อแม่มีความพยายามมากแค่ไหนที่จะให้ลูกกลับมาเหมือนเดิม เหมือนอย่างครอบครัวนี้ที่เขามีเงินสามารถมอบให้ลูกได้สิ่งที่ดีที่สุด แต่ตอนนี้เงินมากมายขนาดไหนก็ไม่สามารถทำให้ลูกกลับมาเหมือนเดิมได้ มีแต่ระยะเวลาที่ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่
ที่มา: kruupdate
บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ:
10 วิธีเล่นเพื่อพัฒนาสมองลูก เล่นอะไรกับลูกแล้วลูกฉลาดบ้าง
ลูกพูดอังกฤษปร๋อเพราะดูยูทูป จิตแพทย์เตือนดูทั้งวัน เสี่ยงออทิสติกเทียม
ข้อดีของการพาลูกเข้านอนไว ช่วยลูกฉลาดขึ้นไหม วิธีพาลูกเข้านอนไวทำอย่างไร