ผ่าคลอด VS คลอดธรรมชาติ ต่างกันอย่างไร แบบไหนดีกว่ากัน ? เป็นคำถามที่คุณแม่มือใหม่ คุณแม่ท้องแรก ชอบถามคุณหมออยู่เสมอ ยิ่งอายุครรภ์เข้าสู่ไตรมาสสุดท้าย แม่ยิ่งคิดหนัก ความสวยความงามก็ห่วง กลัวเจ็บก็กลัว สุขภาพลูกน้อยก็สำคัญ หากเลือกได้ เลือกคลอดแบบไหนดีนะ
ขั้นแรกเรามาทำความเข้าใจถึงความแตกต่างของการ ผ่าคลอด VS คลอดธรรมชาติ กันก่อนค่ะ
คลอดธรรมชาติ คือการให้กำเนิดลูกน้อยผ่านทางช่องคลอด โดยการคลอดวิธีนี้ คุณแม่จะฟื้นตัวเร็ว และเจ็บแผลหลังคลอดน้อย กระบวนการคลอดแบบธรรมชาติจะมีการขับของเหลวออกมาจากปอดของทารก เป็นการลดความเสี่ยงในการเกิดปัญหาของระบบหายใจเมื่อแรกคลอด นอกจากนี้ ทารกยังได้รับโพรไบโอติก (Probiotic) ผ่านทางช่องคลอดของคุณแม่ นับเป็น ภูมิคุ้มกันตั้งต้น ที่ช่วยให้เจ้าตัวเล็กไม่เจ็บป่วยง่าย และมีภูมิต้านทานแข็งแรงต่อเนื่องไปจนโต
แต่การคลอดธรรมชาติ ยังมีข้อเสียอยู่ด้วย คือ คุณแม่ต้องอดทนต่อความเจ็บปวดก่อนคลอดเป็นเวลานาน เสี่ยงต่อการยืดและฉีกขาดของเนื้อเยื่อในช่องคลอด ทั้งยังเสี่ยงกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานหย่อน ทำให้รบกวนการทำงานของลำไส้และการควบคุมปัสสาวะได้ หากต้องมีการใช้อุปกรณ์ช่วยเหลือในการคลอด อาทิ คีม หรือเครื่องดูดสูญญากาศ ทารกก็อาจได้รับบาดเจ็บได้ด้วย
ส่วน การผ่าคลอด เป็นการผ่าตัดคลอดผ่านทางหน้าท้องของคุณแม่ ใช้เวลาในการคลอดสั้น ๆ เพียง 45 นาที – 1 ชั่วโมงนิด ๆ เป็นทางเลือกที่ดีสำหรับคุณแม่ที่มีปัญหาสุขภาพ เช่น อุ้งเชิงกรานแคบ หรือมีความเสี่ยงสูงหากคลอดด้วยวิธีธรรมชาติ และลดความเสี่ยงระหว่างการรอคลอด เช่น ปากมดลูกไม่เปิด หรือสายสะดือโผล่ ลดความเสี่ยงของการยืดหย่อนของเชิงกรานการการเบ่งคลอดนาน ๆ นอกจากนี้ยังสามารถกำหนดวันคลอดที่แน่นอนได้ (ภายใต้การพิจารณาของแพทย์ผู้ดูแล) ซึ่งสอดคล้องกับความเชื่อเรื่องการคลอดตามฤกษ์ยามที่ดี
แต่การผ่าคลอดมักทิ้งรอยแผลเป็นเอาไว้ และอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนหลังคลอด เช่น รกเกาะต่ำ ตกเลือดหลังคลอด สิ่งสำคัญคือ ทารกน้อยยังพลาดโอกาสการได้รับ จุลินทรีย์สุขภาพที่มีประโยชน์ หรือ โพรไบโอติก (Probiotic) แต่ปัจจุบันเทคโนโลยีทางการแพทย์รุดหน้าไปมาก การผ่าคลอดจึงมีความปลอดภัยสูง รวมทั้งยังสามารถคืนภูมิต้านทานตั้งต้นให้ลูกน้อย ได้ด้วยการดูแลโภชนาการที่เหมาะสมตั้งแต่แรกคลอดนั่นเอง
คุณหมอแนะนำวิธีเร่งคืนภูมิต้านทานตั้งต้น รวมทั้งการดูแลให้เด็กผ่าคลอดให้มีสุขภาพดี มีภูมิต้านทานที่แข็งแรงไปจนโต ด้วยการ ทานนมแม่อย่างน้อย 6 เดือน เพราะ นมแม่ อุดมด้วย ภูมิต้านทานมหัศจรรย์ โดยเฉพาะ หัวน้ำนม ที่เราเรียกว่า“โคลอสตรุม” (colostrum) หรือ “น้ำนมเหลือง” คือน้ำนมที่หลั่งออกมาในช่วง 1-3 วันแรกภายหลังการคลอดบุตรเท่านั้น ซึ่งน้ำนมเหลืองเต็มไปด้วยสารสร้างภูมิต้านทาน เช่น IgA แลคโตเฟอริน เซลล์เม็ดเลือดขาว โปรตีนต่างๆ ที่ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย เป็นน้ำนมที่มีประโยชน์มาก มีคุณสมบัติช่วยสร้างภูมิต้านทานแก่ลูกรักอย่างดีเยี่ยม และยังมี ซินไบโอติก (Synbiotic) ซึ่งเป็นการทำงานร่วมกันของ โพรไบโอติก (Probiotic) คือ จุลินทรีย์สุขภาพ และ พรีไบโอติก (Prebiotic) ซึ่งเป็น ใยอาหารของจุลินทรีย์สุขภาพ มีคุณสมบัติช่วยสร้างสมดุลภายในลำไส้ ทำให้จุลินทรีย์สุขภาพเติบโตได้ดี
นอกจากนี้ เด็กผ่าคลอด ยังต้องการการเสริมสร้างภูมิต้านทานอย่างต่อเนื่อง จากทารกสู่เด็กเล็ก (วัย 1-3 ขวบ) เนื่องจากยังอยู่ในช่วงวัยที่ระบบภูมิต้านทานพัฒนาได้ไม่เต็มที่นัก ยิ่งลูกรักเติบโตขึ้นเท่าไร ก็ยิ่งมีโอกาสเจ็บป่วยจากการติดเชื้อต่างๆ มากขึ้นไปอีก คุณแม่จึงจำเป็นต้องส่งเสริมสมดุลจุลินทรีย์ในลำไส้อย่างต่อเนื่องไปจนโต และการรับ ซินไบโอติก คือหนึ่งคำตอบที่ดีของการเสริมสร้างภูมิต้านทานที่แข็งแกร่งของ เด็กผ่าคลอด
เมื่อทราบดังนี้แล้ว คุณแม่ก็คลายกังวลใจได้ เพราะไม่ว่าจะเลือกคลอดด้วยวิธีใด ก็สามารถ เสริมสร้างภูมิต้านทานที่ดี ให้ลูกรักได้เช่นเดียวกัน