เจมี่เป็นคุณแม่เลี้ยงเดี่ยว ที่มีลูกชายสองคนคือลีออนวัย 10 ขวบ และมาร์คัสวัย 7 ขวบ เธออาศัยอยู่ในอพาร์ทเม้นท์ที่มีห้องแยกให้ลูก ในแต่ละวันเจมี่ซึ่งเป็นพยาบาลจะทำกลับบ้านดึกเนื่องจากเธอต้องเข้ากะ โดยลูกชายทั้งสอง จะอยู่กับพี่เลี้ยงที่อาศัยอยู่ด้วยกัน เธอบอกว่า การเป็นแม่ที่มีลูกชายทำให้เธอผ่านอะไรมาเยอะ บ้านไม่เคยเงียบ ข้าวของแตกหักอยู่ตลอดเวลา เธอชินเสียแล้วกับอะไรแบบนี้ แต่สำหรับสิ่งที่เกิดขึ้นล่าสุด เธอบอกว่าถึงกับทำอะไรไม่ถูกเลยทีเดียว เมื่อฉันจับได้ว่า ลูกชายช่วยตัวเอง
วันที่เกิดเหตุ
วันนั้นเป็นวันเสาร์ เธอกลับบ้านประมาณเที่ยงคืนหลังจากทำงานที่โรงพยาบาลมาทั้งวัน ปกติแล้วห้องนอนลูกชายจะปิด แต่เธอก็จะเปิดดูลูกเสมอ ไม่ว่าจะเป็นเวลาไหนก็ตาม เพื่อเข้าไปกอดลูกและส่งลูกเข้านอน สิ่งนี้เป็นกิจวัตรประจำวันที่ลูก ๆ รู้ดี เช่นเดียวกับคืนนั้นที่เธอกำลังเข้าไปกู้ดไนท์ลีออนเป็นคนแรก
เมื่อเธอเดินเข้าไป เธอเริ่มสังเกตว่าโคมโฟหัวเตียงเปิดอยู่ ห้องก็เปิดไฟสลัว ๆ แล้วเธอก็เห็นลูกช่วยตัวเองอยู่ เธอเห็นชัดแจ๋ว จนเธอตะลึงไป ตอนนั้นเธอไม่รู้ว่าจะแสดงออกยังไงดี เธอยืนตัวแข็งอยู่อย่างนั้นประมาณ 2-3 วินาทีโดยตายังจ้องอยู่ที่ลูก ลีออนเองก็ตกใจไม่แพ้กัน สักพักก็ตะโกนออกไปว่า “แม่! ออกไป” แล้วก็เอาผ้าห่มคลุมตัวทันที
เจมี่เริ่มร้องไห้ ตอนนั้นเธอรู้สึกสับสน และมีหลายอารมณ์เกิดขึ้น เธอทั้งโกรธ รู้สึกขยะแขยง ไม่มั่นใจ เธอพยายามปลอบตัวเองให้สงบลงและปล่อยให้ลูกมีเวลาเยียวยา แล้วค่อยเผชิญหน้ากับเธอทีหลัง เธอกลับไปที่ห้อง และค่อยๆคิดว่าจะพูดกับลูกอย่างไรดี เธอจะต้องไม่แกล้งปล่อยให้มันผ่านไป เธอจะต้องหาวิธีพูดกับลูกให้ได้ แต่คำถามในหัวของเธอก็คือ ลูกเพิ่งอายุ 10 ขวบเองนะ ลีออนไปรู้มาจากที่ไหน ? แล้วมาร์คัสจะทำด้วยไหม ? และฉันต้องทำยังไงดี ?
แม่-ลูก เปิดอกคุย
2-3 นาทีต่อมา เจมี่ตัดสินไปเคาะประตูห้องลูก ลีออนซุกตัวอยู่ที่มุมของขอบเตียง สีหน้าดูเป็นกังวลและเขินอาย เจมี่รู้สึกเสียใจต่อลูก เพราะไม่อยากให้ลูกรู้สึกผิด เธอกล่าวว่า นี่คือสถานการณ์ที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก แต่เมื่อมันเกิดขึ้นแล้ว เธอก็ต้องทำอะไรสักอย่าง เธอนั่งลงข้าง ๆ ลีออน เอามือลูกมากุม และบอกลูกว่า “ไม่เป็นไรนะลูก เราแค่ต้องคุยนิดหน่อยเท่านั้นเอง แม่รู้ว่า มันเป็นเรื่องธรรมดาที่เด็กผู้ชายก็ทำกัน แม่แค่ไม่ทันตั้งตัวว่าลูกพร้อมแล้ว สำหรับเรื่องนี้”
ลีออนเริ่มกล้าพูดเปิดเผยกับแม่ เขาบอกว่า “แม่ มันน่าอาย อย่าบอกมาร์คัสนะ” เจมี่ให้คำรับปาก ระหว่างการสนทนา ลีออนก็ยังไม่กล้าสบตาเธอ เธอเองก็วางตัวไม่ถูกเหมือนกัน แต่สุดท้าย ลูกก็ขอโทษเธอ ลีออนเล่าว่าที่โรงเรียนมีการสอนเรื่องเพศกันแล้ว เขารู้ว่าสิ่งนี้คืออะไร และเคยช่วยตัวเองมาก่อนนั้น 2-3 ครั้ง อย่างไรก็ตาม เขาถามเธอว่า ผิดหรือที่ช่วยตัวเอง
เจมี่บอกว่าไม่ผิดหรอก มันเป็นกระบวนการทางธรรมชาติและไม่ใช่เรื่องน่าอาย ลูกกำลังโตขึ้นและสิ่งนี้ย่อมต้องเกิดขึ้น แม้ควรทำในที่ลับแต่ก็ไม่ใช่เรื่องผิดบาป เจมี่รู้สึกขอบคุณโรงเรียนในใจเหมือนกัน ที่สอนให้เด็กเข้าใจเรื่องเพศ เรื่องร่างกาย เรื่องการปกป้องร่างกายตัวเอง ตลอดจนเรื่องเพศสัมพันธ์ มันทำให้การสนทนาระหว่างเธอและลูกง่ายขึ้นมาก
ลีออนรู้สึกดีขึ้นมากที่เธอไม่ทำโทษและเข้าใจในตัวเขา เจมี่เองก็ปรับอารมณ์และเข้าใจอะไร ๆ ขึ้น กับความเป็นธรรมชาติของเพศ มันไม่ได้แย่อย่างที่เธอคิด หากพูดกับลูกอย่างตรงไปตรงมา
พูดเรื่องเพศกับลูกอย่างไร
แม้เรื่องที่ลูกช่วยตัวเองจะเป็นเรื่องน้ำท่วมปากสำหรับพ่อแม่ แต่สักวันหนึ่งเมื่อถึงวัยของเขา เราก็จะต้องผ่านจุดนี้กันให้ได้ จึงดีเสียกว่าที่จะสอนให้เขารู้จักเรื่องเพศ เรื่องความแตกต่างของเพศตั้งแต่เล็กๆ สอนให้เขารู้จักร่างกายตนเอง สอนเรื่องอวัยวะเพศ สอนว่าอย่าให้ใครมาสัมผัส (ในวัยเด็กเล็ก) เรื่อยไปถึงเรื่องความต้องการทางเพศ เรื่องสืบพันธุ์ เมื่อเขาโตขึ้น
บางทีอาจใช้หนังสือเป็นตัวช่วย อาจวางในห้องเขา ให้เขาลองอ่านคนเดียวเงียบๆก่อน และค่อย ๆ สอนเขา เช่น สงสัยอะไรไหม มีคำถามไหม นอกจากนี้ ควรสอนว่าการฝันเปียก ก็เป็นเรื่องธรรมชาติ นั่นเป็นสิ่งที่ควบคุมไม่ได้ และแปลได้ว่าลูกกำลังจะเป็นหนุ่มแล้ว
ทำให้เขามั่นใจว่า เราไม่เห็นว่าเป็นความผิดแปลก และนั่นจะเป็นกุญแจสำคัญ ให้ลูกกล้าเปิดเผยเรื่องเพศกับพ่อแม่ต่อไป เรามี 6 วิธีที่จะทำให้การคุยเรื่องเพศกับลูกง่ายขึ้นมากค่ะ
1. ให้มองเรื่องเซ็กส์เป็นเรื่องธรรมชาติ
เมื่อหนูโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว พร้อมมีครอบครัว เซ็กส์ เกิดจากความรักของพ่อกับแม่ และ การมีเซ็กส์ไม่ใช่เรื่องที่ผิด เมื่อทำในเวลาที่เหมาะสม เช่น พ่อกับแม่ มีการชอบกัน รักกัน จึงแสดงออกถึงความรักด้วยการมีเซ็กส์ เป็นขั้นตอนหนึ่งที่ทำให้หนูเกิดมา โดยหากว่าลูกของคุยยังอยู่ในวัยที่ยังไม่สามารถเข้าใจเรื่องราวได้มากนัก ก็ให้คุณพ่อคุณแม่นั้นอธิบายแต่ยังไม่ต้องลงรายละเอียดในเชิงลึกและปรับคำอธิบายต่าง ๆ ไปตามช่วงอายุวัยของพวกเขาอย่างเหมาะสม
2. หาเวลาส่วนตัวคุยกับลูก
ถ้าลูกถามถึงการมีเพศสัมพันธ์ให้พูดคุยกับลูกอย่างตรงไปตรงมา ถ้าลูกถามถึงการมีเพศสัมพันธ์ของคนที่มีเพศเดียวกัน ก็ให้ตอบตรง ๆ ว่า พวกเขาก็ทำเพื่อความรัก เช่นกัน ลองหาหนังสือ สื่อการสอนสมัยใหม่ที่สอนลูกเกี่ยวกับการปฏิสนธิ การร่วมรักของชายหญิง รักในเพศ LGBT และสอนว่าความรักที่มีความหลากหลาย ไม่ได้จำกัดเพศใดเพศหนึ่ง อย่าลืมที่จะสอนลูกว่าโลกเปิดกว้างมาก และสมัยนี้ก็มีเพศทางเลือก จะเป็นการดีถ้าคุณพ่อคุณแม่เปิดใจคุยเรื่องเพศกับพวกเขาตั้งแต่แรกเพราะมันจะทำให้พวกเขากล้าที่จะเล่าเรื่องราวของพวกเขาให้คุณฟัง
3.ให้ลูกรักร่างกายตัวเอง ไม่ว่าใครก็ไม่มีสิทธิแตะต้องตัวลูกได้
สอนให้ลูกรู้จักส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย และ หน้าที่ของมัน ทำให้สภาพแวดล้อม ในบ้าน และ ความสัมพันธ์ของคุณกับลูก เต็มไปด้วยความ ปลอดภัย ความไว้เนื้อเชื่อใจ ถ้าลูกไม่เชื่อใจคุณ เขาอาจจะไม่เล่าอะไรให้ฟังเลยก็ได้ บอกลูกว่าไม่ใช่ทุกคนจะสามารถจับตัวลูกได้ และ ไม่ให้ใครจับอวัยวะเพศ ให้ลูกรู้ว่ามีคนที่คอยสนับสนุนเขาอยู่
4. ลองใช้ละครหรือภาพยนตร์ในการเริ่มคุย
ปกติเรื่องเพศอยู่ในสื่อต่าง ๆ เช่นละครหลังข่าว คุณพ่อคุณแม่สามารถยกตัวอย่างเรื่องเพศที่เหมาะสม ให้เป็นตัวอย่างได้ เช่น การคบหา การแสดงออกถึงความรัก ศีลธรรมในการครองรักกัน การมีความสัมพันธ์และสร้างครอบครัว
5.สอนลูกป้องกันตัวเอง เมื่อลูกเข้าสู่วัยที่สามารถมีเพศสัมพันธ์ได้แล้ว
เริ่มสอนพวกเขา เกี่ยวกับการป้องกันตัวเอง ไม่ว่าจะเป็น ยาคุมกำเนิด ถุงยางอนามัย การคุมกำเนิดที่ถูกต้อง เซ็กส์แบบไหนปลอดภัย และผลกระทบของการไม่คุมกำเนิด การต้องเป็นแม่วัยใส หรือพ่อวัยเรียน จะส่งผลต่ออนาคตอย่างไร
6. ทำให้ลูกสบายใจที่จะพูดคุยเรื่องเพศกับเรา
เมื่อพ่อแม่เป็นเหมือนเพื่อน ลูกก็จะสนิทใจ ที่จะพูดคุยเรื่องเพศกับเรา รับฟังเรื่องราวของลูกอย่างเปิดใจ สิ่งสำคัญที่สุดคือคุณพ่อคุณแม่จะต้องไม่เอาตัวเองเป็นที่ตั้ง เมื่อลูกเล่าเรื่องราวต่าง ๆ ก็ควรรับฟังและโต้แย้งอย่างมีเหตุผลไม่ควรเอาอารมณ์โต้แย้ง สิ่งนี้จะทำให้ลูกอยากแบ่งปันเรื่องราวของพวกเขากับพ่อแม่ได้สนิทใจ
อ้างอิง : www.healthychildren.org
บทความที่น่าสนใจอื่นๆ :
“เพศศึกษา” พ่อแม่ควรสอนลูกอย่างไร
6 บทบาทเพศหญิงที่แม่ควรสอนลูกสาว