แต่งงานแล้วควรแยกบ้าน คือบทสรุปในยุคปัจจุบัน ไม่ใช่ไม่รักแต่ไม่อยากทะเลาะ
ครอบครัวใหญ่ จริงอยู่ว่าจะมีความอบอุ่น มีสายสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้น แต่ใช่ว่าจะดีทุกบ้าน เพราะบางทีก็มีเรื่องจุกจิกชวนปวดหัว และ ปัญหามากมาย วันนี้เรามีประสบการณ์จากคุณแอนนา คุณแม่ที่อยู่กับครอบครัวใหญ่ตั้งแต่ลูกเกิดจนถึงปัจจุบัน แต่งงานแล้วควรแยกบ้าน คือบทสรุปในยุคปัจจุบัน ไม่ใช่ไม่รักแต่ไม่อยากทะเลาะ
ทำไมแต่งงานแล้วควรแยกบ้าน?
สิ่งสำคัญของการสร้างรากฐานครอบครัวที่แข็งแรง นั้นไม่ได้วัดที่จำนวนของคนในครอบครัว แต่เป็นความเข้าใจกันทุกฝ่าย และ การวางแผนคู่ะระยะยาว เป็นสิ่งที่สามีและภรรยาควรตัดสินใจร่วมกัน ไม่ใช่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเท่านั้น เรื่องที่สำคัญมากๆ คือ ครอบครัวใหญ่ และ ครอบครัวเดี่ยว
ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายไหน ฝ่ายหญิงหรือฝ่ายชาย เราเชื่อว่าทุกคนอยากจะมีพื้นที่ของตัวเอง เวลาที่คน 2 คนแต่งงาน หากมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งต้องย้ายไปอยู่บ้านอีกฝ่าย เรามั่นใจว่าจะต้องเกิดเหตุการณ์ที่บางครั้งก็ต้องการ “พื้นที่” ถึงแม้ว่าบ้านนั้นจะต้อนรับ หรือ ใจดีกับอีกเราแค่ไหน แต่เชื่อว่าเราจะรู้สึกตัวเล็ก และ รู้สึกเป็นสิ่งแปลกปลอมในบ้าน แน่นอนค่ะนอกจากเรื่องของอารมณ์และความรู้สึก การอยู่ครอบครัวใหญ่ และ บ้านใหญ่นั้นมีผลต่อการเลี้ยงดูลูกแน่นอน
การไปอย่ครอบครัวใหญ่นั้นอาจจะเกิด ความสัมพันธ์ระหว่าง พ่อตา-แม่ยาย นั้นจะเป็นปัญหา และ การเลี้ยงลูกหรือวิธีการเลี้ยงลูกจะต้องอยู่ใต้อิทธิพลของผู้ใหญ่ในบ้านเสียส่วนใหญ่
การเลี้ยงดูลูกในครอบครัวใหญ่นั้นจะต้องเกิดปัญหาชวนในปวดหัว โดยเฉพาะคำว่า “แต่ก่อนก็เลี้ยงแบบนี้” ซึ่งคำนี้ถือว่าเป็นประโยคชวนปวดหัวต้นๆเลย ปัญหาต่อมาคือคำว่า “มากคน มากความ” การเลี้ยงลูกแบบครอบครัวใหญ่นั้นเราต้องคอยรับฟังคำพูดและความเห็นจากบุคคลส่วนใหญ่ เลยทำให้เราไม่สามารถเลี้ยงลูกได้แบบตามใจ ด้วยเจเนอเรชั่นที่แตกต่าง คุณแอนนา เผยว่า สิ่งที่คุณย่า กับ คุณปู่ของลูกเธอทำคือการไม่รับฟังความเห็นของเธอเลย โดยคุณแอนนาเผยว่าต้องยอมรับความจริงว่าฝั่งนั้นเขาจะไม่ปรับ และ จะไม่เปลี่ยนในความคิดของเขา
คุณแอนนา เป็นลูกสะใภ้ตระกูลคนจีน โดยลูกคนแรกของเธอก็เป็นหลานคนแรก เธอจึงเล่าให้ฟังว่าทั้งบ้านจะตามใจ และ จะตามโอ๋บ่อยมาก จนบางครั้งเธอก็ต้องเป็นคนคอยเบรค และ คอยห้าม และแน่นอนพอมากคน และ มากความ ทำให้ลูกเธอบางครั้งไม่รับฟังเธอ
โดยเหตุการณ์พื้นฐานที่ทุกคนที่อยู่บ้านแบบครอบครัวใหญ่จะต้องเจอคือการป้อนกล้วย ก่อนกินข้าว ซึ่งเอาเข้าจริงว่าเด็กจะต้องอิ่ม แต่คุณปู่ คุณย่าก็จะบอกว่าทำเลย การกินกล้วยจะทำให้เด็กโตเร็ว ซึ่งพอคุณแอนนาจะห้ามก็จะถูกคำเดิมๆ “แต่ก่อนก็เลี้ยงลูกเขามาแบบนั้น” พอเจอคำนี้ คุณแอนนาก็ได้แต่เงียบและมองดูเหตุการณ์ แต่แน่นอนหัวอกคนเป็นแม่ บางครั้งก็อยากจะสอนลูกเพราะฉะนั้นเพื่อหลีกเลี่ยงการงัดกันตรงๆ คุณแอนนาจะเลือกแอบไปสอนลูกทีหลัง ซึ่งคุณแอนนาเผยว่า การทำแบบนั้นก็ค่อนข้างลำบากเพราะลูกจะได้รับข้อมูลในทางความคิดที่ไม่ค่อยตรงกันเท่าไหร่หนัก
คุณแอนนายังเล่าอีกว่า คุณปู่ คุณย่า จะกลัวหลานโกรธมาก โดยเวลาหลานทำอะไรที่ไม่ค่อยน่ารักจะไม่ดุตรงๆ แต่เลือกการบอกว่า ถ้าไม่หยุดจะให้แม่มาดุนะ หรือ เดี๋ยวแม่มาดุนะ แทนทีจะสอนหรือดุหลานตรง
คุณแอนนายังบอกอีกว่า ด้วยเจเนอเรชั่นที่แตกต่างทุกเรื่อง จะเห็นต่างกันหมดเลย และด้วยอายุที่มากแล้วของคุณปู่ คุณย่า บางครั้งท่านก็สามารถปล่อยและละเลยในบางอย่างได้ เช่น บางครั้งพวกท่านจะไม่มีการ Limit เวลาในการดูทีวี หรือ เล่นโทรศัพท์ทำให้ลูกของคุณแอนนาจะใช้เวลากับหน้าจอค่อนข้างเยอะ ซึ่ง จะเป็นผลเสียได้ในอนาคตเกี่ยวกับเรื่องของสายตา เพราะฉะนั้นอาจจะเป็นปัญหาในการเลี้ยงแบบครอบครัวใหญ่ด้วย
และคุณปู่ คุณย่า จะกลัวการที่หลานโดนดุมาก โดยคุณแอนนาเคยเล่าให้ฟังว่า มีครั้งหนึ่งที่ลูกของคุณแอนนาดูทีวีนานมาก และ คุณแอนนากำลังจะกลับบ้านโดยเธอยืนอยู่หน้าบ้านแล้ว คุณย่าเดินมาเห็นเธอรีบวิ่งกลับไปที่บ้านเพื่อที่จะบอกให้ลูกคุณแอนนาปิดทีวีก่อนแล้วจึงเดินมาเปิดประตูให้คุณแอนนา
นอกจากนี้ เรื่องที่ทำให้คุณแอนนารู้สึกเหนื่อยทั้งกายและใจที่สุดคือ เวลานอนของลูก คุณย่ากับคุณปู่นั้นจะปล่อยให้หลานได้นอนกลางวัน โดยไม่ปลุก บางครั้งนอนยิงยาวจนถึง หกโมงจนถึงหนึ่งทุ่ม และ การนอนเยอะเกินในตอนกลางวันผลเสียที่ตามมาคือ กลางคืนลูกตาสว่างและทั้งคุณแอนนากับสามีต้องไปทำงานทั้งคู่ซึ่งเหตุการณ์นี้ทำให้ เวลานอนของคุณแอนนาและสามีรวนไปเลย
คุณแอนนาจึงแนะนำว่าสำหรับคนที่มีทางเลือก หรือ เลือกได้นั้นควรที่จะแยกบ้านออกมาอยู่กันเลย เพราะ แค่สามีกับภรรยา เรื่องความคิดที่แตกต่างนั้นมันมีแน่นอน แต่หากอยู่กับคนเยอะๆ หรือ อยู่กับครอบครัวใดครอบครัวหนึ่ง สิ่งที่จะเกิดขึ้นคือ Bias หรือ ความอคติแน่นอน เพราะฉะนั้นหากทำได้ หรือ มีทางเลือกการแยกกันอยู่แต่ละครอบครัวจะทำให้ความสัมพันธ์ของทุกฝ่ายดีขึ้นอย่างแน่นอน