นักจิตวิทยา เปิดเผยว่า เด็ก ๆ เรียนรู้ได้ดีผ่านการเล่น ทุกครั้งที่พ่อแม่ หรือคุณครู ชวนเจ้าตัวเล็กเล่นนอกบ้าน ปล่อยให้สนุกสนานกับการ เรียนรู้ เล่น เลอะ ในโลกใบใหญ่ ลงมือทำเต็มที่แบบไม่ต้องกังวลกับคราบหนักบนเสื้อผ้า ช่วยกระตุ้นให้ลูกมีพัฒนาการรอบด้าน ถือเป็นการเสริมสร้างทักษะการเรียนรู้อย่างแท้จริง
ดังนั้น หากต้องการให้ลูกรักมีพัฒนาการเป็นเลิศตั้งแต่ยังเล็ก จึงควรสนับสนุนให้ออกมาทำกิจกรรมต่าง ๆ ผ่านการ เรียนรู้ เล่น เลอะ ในห้องเรียนธรรมชาติ โดยพ่อแม่ หรือคุณครู สามารถแทรกกิจกรรมเหล่านี้ลงไปในชีวิตประจำวัน อย่างน้อยวันละ 60 นาที เทคนิคเบื้องต้น สำหรับพ่อแม่มือใหม่ พ่อแม่อาจสลับกันชวนลูกเล่นเพื่อไม่ให้รู้สึกเบื่อหน่าย คนละ 30 นาที นอกจากกิจกรรมง่าย ๆ ที่สามารถทำได้ทุกวันแล้ว ช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ หรือหยุดเทศกาลยาว ๆ ยังสามารถพาลูกรัก ออกไปเปิดประสบการณ์ตามสถานที่ต่าง ๆ เพื่อกระตุ้นให้เด็ก ๆ รู้สึกตื่นเต้นกับโลกใบใหม่ อยากเรียนรู้ตลอดเวลาได้อีกด้วย
7 วัน 7 กิจกรรม 60 นาที เรียนรู้ เล่น เลอะ ยิ่งเปรอะ ยิ่งได้ประสบการณ์
1.ปั้นดิน เล่นทราย ช่วยสร้างโครงข่ายเส้นใยประสาท เสริมสร้างกล้ามเนื้อ ฝึกสมาธิ
แม้ว่าพ่อแม่อาจเหน็ดเหนื่อยจากการทำงานมาทั้งวัน แต่ก็ยังสามารถใช้เวลาสั้น ๆ 15-30 นาที ชวนเจ้าตัวเล็กปั้นดินน้ำมัน เล่นทราย ณ มุมเล็ก ๆ ในบ้าน ที่จัดไว้ให้ลูกน้อยสร้างสรรค์ผลงานตามจินตนาการ นอกจากความแข็งแรงของกล้ามเนื้อมัดเล็กและมัดใหญ่ที่ได้จากการหยิบ จับ ปั้น แต่ง ยืน เดิน นั่ง สร้างปราสาททราย หรือประดิษฐ์ตุ๊กตาดินน้ำมันแล้ว ยังกระตุ้นให้สมองเกิดการสร้างแขนงโครงข่ายเส้นใยประสาท ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญของการเรียนรู้และจดจำ ทั้งยังฝึกฝนให้เด็ก ๆ ฝึกทักษะการตั้งเป้าหมาย และลงมือทำให้สำเร็จตามความตั้งใจอีกด้วย
2.ปลูกต้นไม้ รดน้ำ พรวนดิน ปลูกฝังลูกรักเป็นนักอนุรักษ์ตัวน้อย
ช่วงเย็นหลังเลิกเรียนในวันธรรมดา คุณพ่อคุณแม่สามารถมอบหมายให้ลูกรักรับผิดชอบการรดน้ำต้นไม้ ที่ได้ลงมือปลูกร่วมกัน ได้ผ่อนคลายความเครียดผ่านธรรมชาติ และ ฝึกความรับผิดชอบง่ายๆให้กับลูกได้และในเช้าวันเสาร์อาทิตย์ แบ่งเวลาสัก 60 นาทีในช่วงเช้า ก็พากันชวนเด็ก ๆ พรวนดิน ใส่ปุ๋ย เปลี่ยนกระถาง สิ่งเหล่านี้ เพิ่มทักษะการ วางแผน จัดลำดับความสำคัญในการทำงาน รวมทั้งได้ใช้กล้ามเนื้อส่วนต่าง ๆ นอกจากนี้ยังช่วยให้เด็ก ๆ เกิดความภาคภูมิใจ เมื่อต้นไม้ออกดอกออกผล อยากทานผักที่ปลูกเอง และกลายเป็นนักอนุรักษ์ตัวน้อย
3.นักสำรวจตัวน้อย ฝึกความช่างสังเกต คิด วิเคราะห์ มีความจำดี
ในวันเสาร์อาทิตย์ที่อากาศดี ๆ ลองหาเวลา 15-30 นาที ชวนเจ้าตัวเล็กแปลงร่างเป็นนักสำรวจ หยิบแว่นขยายไปแอบดู นก แมลง ดอกไม้ รอบ ๆ บ้าน ตั้งโจทย์ให้เด็ก ๆ ถ่ายรูปด้วยกล้อง มือถือ วาดรูป หรือจดบันทึกสิ่งที่พบเจอ กิจกรรมนี้จะช่วยฝึกความช่างสังเกต จดจำได้แม่นยำ และมีทักษะในการคิด วิเคราะห์ แยกแยะถึงความแตกต่าง รวมทั้งได้ใช้จินตนาการบนพื้นฐานความเป็นจริงในการจดบันทึกอีกด้วย
4.เลี้ยงสัตว์ ฝึกความรับผิดชอบ ปลูกฝังความโอบอ้อมอารี
การมีสัตว์เลี้ยงเป็นสมาชิกในบ้าน นอกจากจะช่วยให้ทุกคนหายเครียด และคลายเหงาแล้ว ยังเป็นการฝึกให้ลูกรักมีจิตใจอ่อนโยน รู้จักแบ่งปัน และมีความรับผิดชอบ โดยคุณแม่คุณพ่ออาจมอบหมายให้ลูกรักมีหน้าที่ดูแลสุนัข คอยให้อาหาร พาไปเดินเล่นหลังเลิกเรียน อาบน้ำให้ในวันเสาร์อาทิตย์ และพาไปตรวจสุขภาพตามนัด สิ่งเหล่านี้สามารถทำได้ทุกวัน เมื่อเด็ก ๆ เกิดความรักความผูกพัน จะมีความโอบอ้อมอารี เป็นเด็กที่มีจิตใจดีโดยอัตโนมัติ
5.เล่นกีฬา สร้างกติกา รู้แพ้ชนะ อดทน และมีน้ำใจ
การมีน้ำใจนักกีฬา รู้แพ้รู้ชนะ ยอมรับกติกา ถือเป็นพื้นฐานสำคัญในการอยู่ร่วมกันในสังคม เพราะการเล่นกีฬา ไม่ใช่แค่เพียงทำให้ร่างกายแข็งแรงเท่านั้น ยังเป็นการฝึกความอดทนอดกลั้น รู้แพ้รู้ชนะ กีฬาหลายชนิดยังต้องอาศัยการทำงานร่วมของของอวัยวะหลายส่วน ซึ่งเป็นการกระตุ้นพัฒนาการสมองและระบบประสาทได้อย่างมีประสิทธิภาพ คุณพ่อคุณแม่สามารถชวนลูกรักเล่นกีฬาได้ทุกวันทุกเวลา อย่าง วันธรรมดาอาจชวนกันเล่นการ์ดเกมหลังเลิกเรียน ส่วนวันหยุดเสาร์อาทิตย์ ก็ชวนกันออกกำลังกายใช้พลัง เช่น ตีแบต เตะบอล ตีปิงปอง วิ่งเล่น ขี่จักรยาน รับลองว่าลูกรักจะต้องชอบอกชอบใจกับการได้ใช้ร่างกายอย่างเต็มที่แน่นอน
6.ชวนลูกออกไปผจญภัย ใช้ชีวิตง่ายๆ ไกลจากจอมือถือ
เสาร์อาทิตย์นี้ ลองหาโอกาสพาลูกรักไปผจญภัยในสถานที่ต่าง ๆ โดยในวัยอนุบาลอาจพาเจ้าตัวเล็กไปเที่ยวสวนสัตว์ พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำ ใกล้บ้าน ส่วนวัยประถมถึงมัธยมที่สามารถดูแลตัวเองได้แล้ว อาจพาไปลองใช้ชีวิตง่าย ๆ เว้นว่างจากจอโทรศัพท์มือถือ ณ ฟาร์มสเตย์ ทำกิจกรรมลุย ๆ เช่น ทำนา เลี้ยงสัตว์ ย้อมผ้า ทำเทียนไข เล่นสไลด์เดอร์จากคันดิน แม้บางกิจกรรมอาจฝากคราบหนักไว้บนเสื้อผ้า แต่เมื่อเทียบกับประสบการณ์ที่ได้รับกลับมา ถือว่าคุ้มค่าสุด ๆ
7.ทำงานจิตอาสา รู้จักแบ่งปัน ลดความเห็นแก่ตัว และเห็นอกเห็นใจผู้อื่น
การปลูกฝังจิตอาสา สามารถทำได้ทุกวันทุกเวลา โดยเริ่มจากการมอบหมายให้ลูกช่วยเหลืองานบ้านพ่อแม่เล็ก ๆ น้อย ๆ เช่น รดน้ำ ถูบ้าน พับเสื้อผ้า ล้างจาน และเมื่อมีโอกาสทำงานเพื่อสังคม ก็ควรพาเด็ก ๆ ออกไปสัมผัสบรรยากาศของการแบ่งปัน อาทิ การอ่านหนังสือให้ผู้พิการฟัง การแจกอาหารในงานการกุศล หรือเข้าค่ายอาสาพัฒนาชุมชน เพื่อให้ลูกรู้จักการเสียสละ เห็นอกเห็นใจผู้อื่น มีความนอบน้อมถ่อมตน มีน้ำใจ เข้ากับผู้อื่นง่าย เติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีทักษะการใช้ชีวิตที่ดี และมีคุณภาพมาก ๆ อีกคนหนึ่งในสังคม
บรีส สนับสนุนให้เด็ก ๆ เปิดโลกใหม่ที่กว้างกว่าในตำรา ยิ่งเลอะ ยิ่งเยอะประสบการณ์
บรีส เล็งเห็นแล้วว่า การชวนลูกทำกิจกรรมร่วมกันวันละนิด แม้ว่ากิจกรรมนั้นอาจฝากคราบเลอะอยู่บ้าง แต่ก็มอบประสบการณ์ได้มากกว่าการนั่งกางตำรา จึงร่วมสนับสนุนให้เด็ก ๆ ออกมาทำกิจกรรมนอกบ้าน และสนับสนุนให้คุณครูพาเด็ก ๆ ออกมาเรียนรู้นอกกระดานดำ กับโครงการ Outdoor Classroom Day เพราะมั่นใจว่ากิจกรรมเลอะ ๆ ที่อาจทำให้เสื้อผ้ามีคราบเปรอะเปื้อนไปบ้าง ไม่ใช่สิ่งเลวร้าย เพราะคราบสกปรกสามารถขจัดออกได้ไม่ยาก แต่ประสบการณ์ล้ำค่าไม่ได้หาได้ง่าย ๆ ถ้าไม่ได้ลงมือทำจริง เมื่อผู้ใหญ่เปิดใจให้กว้าง เด็ก ๆ ก็จะสนุกสนานกับห้องเรียนธรรมชาติ มีความสุขที่ได้ใช้ชีวิตอย่างอิสระ ตื่นเต้นกับการสัมผัสประสบการณ์แปลกใหม่ เพิ่มทักษะการใช้ชีวิต เสริมสร้างความรู้ความสามารถรอบด้าน อันเป็นพื้นฐานสำคัญของลูกรักต่อไปในอนาคต
เปิดประสบการณ์ เรียนรู้ เล่น เลอะ คลิก บรีส Outdoor Learning