การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนเพศหญิง มักส่งผลต่อระบบต่าง ๆ ในร่างกาย รวมไปถึงส่งผลต่ออารมณ์ด้วย ทำให้บางทีผู้หญิงแบบเราก็สงสัย ว่าตกลงอันนี้แค่ฮอร์โมนแปรปรวน หรือว่าเรากำลังจะมีเบบี๋นะ เราจึงได้รวบรวม วิธีสังเกตว่าท้อง หรือไม่ แบบไหนถึงเรียกว่าท้อง อาการคนท้องเริ่มแรกเป็นยังไง มาเช็กไปพร้อม ๆ กันได้เลยค่ะ
สารบัญ
วิธีสังเกตว่าท้อง หรือไม่
อาการของคนท้องแต่ละคน มักจะแตกต่างกันออกไป ทั้งสัญญาณเริ่มต้นของการตั้งครรภ์ รวมไปถึงอาการแพ้ท้อง การแพ้ท้องมาก หรือแพ้ท้องน้อย ก็ไม่เหมือนกันอีก ซึ่งบางคนอาจจะแทบไม่มีการเปลี่ยนแปลงทางร่างกายเลยก็ได้ โดยอาการเหล่านี้ จะเกิดจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน ที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วหลังการปฏิสนธิ ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางร่างกายหลาย ที่พอสังเกตอาการได้คร่าว ๆ ดังนี้
1. ประจำเดือนขาด
ประจำเดือนขาด ถือเป็นสัญญาณที่ชัดเจนที่สุด ของการตั้งครรภ์ เมื่อการปฏิสนธิสำเร็จ ร่างกายจะผลิตฮอร์โมนเอชซีจี (Human Chorionic Gonadotropin หรือ hCG) ที่ช่วยให้ทารกในครรภ์เจริญเติบโต ทำให้ร่างกายหยุดการตกไข่ แล้วก็ไม่มีประจำเดือน แต่อย่างไรก็ตาม อาการขาดประจำเดือน อาจเกิดได้จากปัจจัยอื่น ๆ ได้อีก เช่น ความเครียด ฮอร์โมน พฤติกรรมการทานอาหาร ดังนั้นหากประจำเดือนขาดไป หรือมาช้ากว่าปกติมาก ๆ จนสงสัยว่าตั้งครรภ์ไหม ควรรีบไปตรวจ เพื่อยืนยันการตั้งครรภ์
2. คลื่นไส้ อาเจียน
อาการคลื่นไส้ อาเจียน เป็นอาการแพ้ท้อง ที่พบได้บ่อยที่สุด หลักจากเริ่มมีการตั้งครรภ์ โดยส่วนใหญ่แล้ว มักจะเกิดขึ้นในช่วงเช้า แต่ก็สามารถเป็นได้ตลอดทั้งวัน โดยปกติ คนท้องมักแพ้ท้องในช่วง 1-2 เดือนแรก แต่บางคนก็อาจจะไม่แพ้ท้องเลย หรือบางคนก็สามารถไปแพ้ท้องเอาในช่วง 3-4 เดือนแทนก็ได้ ขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายของว่าที่คุณแม่แต่ละคนค่ะ
3. อ่อนเพลีย
คนท้องมักจะรู้สึกอ่อนเพลีย เหนื่อยล้ากว่าปกติ เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมนโปรเจสเตอโรน (Progesterone) ในร่างกาย ที่ช่วยให้ทารกในครรภ์เจริญเติบโต แต่ก็ทำให้อวัยวะต่าง ๆ ภายในร่างกาย ทำงานหนักขึ้นด้วย
4. พฤติกรรมการกินเปลี่ยนไป
หลายคนน่าจะเคยได้ยินเรื่องของแม่ท้อง ที่พอแพ้ท้องแล้วอยากกินอะไรแปลก ๆ โดยไม่สามารถอธิบายเหตุผลได้ อะไรที่เคยชอบ ก็เหม็น ไม่อยากทาน ส่วนอะไรที่ไม่เคยทาน หรือไม่ชอบทานมาก่อน ก็ดันอยากทานขึ้นมาเฉย ๆ บางคนอาจจะอยากทานอาหารรสเปรี้ยว หรือผลไม้รสเปรี้ยว หรือบางคนจะอยากอาหารที่ให้พลังงานสูงโดยอัตโนมัติ เช่น นม
5. จมูกไวต่อกลิ่น
เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน อาจะทำให้คนที่กำลังตั้งครรภ์ มีอาการไวต่อกลิ่นมากกว่าปกติ ทั้ง ๆ ที่ก่อนการตั้งครรภ์ ไม่เคยจมูกไวต่อกลิ่นเท่านี้มาก่อน อาจจะรู้สึกเหม็นกลิ่นบางอย่าง ที่ไม่เคยเหม็นมาก่อน เช่น กลิ่นอาหาร กลิ่นน้ำหอม จนทำให้มีอาการเวียนหัว คลื่นไส้ อาเจียน ได้
6. คัดเต้านม
อาการคัดเต้านม เกิดจากฮอร์โมนโปรเจสเทอโรน (Progesterone) เพิ่มสูงขึ้น โดยอาการจะคล้าย ๆ กับช่วงก่อนมีประจำเดือน จะรู้สึกตึง ๆ เต้านม เสียวแปลบ เต้านมใหญ่ขึ้น และไวต่อการสัมผัส โดยทั่วไปแล้ว อาการคัดเต้านม จะเกิดขึ้นในช่วงที่ตั้งครรภ์ได้ 1-2 สัปดาห์ จากนั้นจะค่อย ๆ ลดลงไปภายใน 3 เดือน
7. ผิวรอบหัวนมคล้ำขึ้น
บางคนอาจจะรู้สึกว่า ผิวรอบหัวนม หรือปานนม มีสีที่คล้ำขึ้น นั่นอาจเป็นสัญญาณบอกว่าคุณกำลังมีน้องค่ะ เพราะเกิดจาก ฮอร์โมนโปรเจสเทอโรน (Progesterone) เพิ่มสูงขึ้น เช่นเดียวกับอาการคัดเต้านม แต่ทั้งนี้ไม่ได้ทำให้เกิดอันตรายต่อเด็กในครรภ์แต่อย่างใด เป็นเพียงการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในร่างกายเท่านั้น
8. ปัสสาวะบ่อย
คนท้องในช่วงแรก ๆ จะปัสสาวะบ่อยขึ้น เนื่องจากมดลูกขยายตัว และไปกดกระเพาะปัสสาวะ รวมไปถึงร่างกายจะผลิตของเหลวมากขึ้น เพื่อไปเลี้ยงทารกในครรภ์ ส่งผลให้ไตทำงานหนักขึ้น ในการกรองของเสียออกทางปัสสาวะ ก็เลยทำให้เหล่าแม่ ๆ ปวดปัสสาวะบ่อยขึ้นได้ค่ะ
9. อารมณ์แปรปรวน
การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในร่างกาย จะส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงของอารมณ์เช่นเดียวกัน ทำให้คนท้องอารมณ์ขึ้น ๆ ลง ๆ หงุดหงิดง่าย เอาใจยาก อ่อนไหวง่าย บางคนอาจะมีอาการหนัก ถึงขั้นเป็นโรคซึมเศร้าระหว่างตั้งครรภ์ได้ หากใครมีอาการที่รุนแรง หรือรู้สึกไม่สบาย อาจปรึกษาแพทย์ เพื่อขอคำแนะนำเพิ่มเติมได้
10. ปวดหลัง
อาการปวดหลัง ถือเป็นอาการยอดฮิตของแม่ท้อง เนื่องจากมีการขยายตัวของกล้ามเนื้อ ต้องแบกน้ำหนักของทารกในครรภ์ ที่โตขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งอาการปวดหลังของแม่ท้องนั้น สามารถบรรเทาลงได้ ด้วยการไม่ใส่รองเท้าส้นสูง ไม่ยกของหนัก ปรับท่านอน หรืออาจใช้หมอนคนท้องช่วยในการนอน หากมีอาการปวดหลังหนักมาก ควรปรึกษาแพทย์ เพื่อขอคำแนะนำเพิ่มเติม ไม่ควรซื้อยาทานเองเด็ดขาด
11. ปวดศีรษะ
คุณแม่ตั้งครรภ์ มักมีอาการวิงเวียน ปวดศีรษะ เนื่องจากการกดทับของหลอดเลือดใหญ่ ที่นำเลือดจากร่างกายไปสู่หัวใจได้ไม่ดี รวมไปถึง ความเครียด การพักผ่อนไม่เพียงพอ โดยอาการเหล่านี้ สามารถพบได้บ่อย ในช่วง 1-3 เดือนของการตั้งครรภ์ หากปวดหัวมากอย่างต่อเนื่อง ควรปรึกษาแพทย์ เพื่อหาวิธีรักษาต่อไป
12. อุณหภูมิร่างกายสูงขึ้น
บางคนอาจจะรู้สึกตัวร้อนรุม ๆ มีอาการคล้ายจะเป็นไข้ โดยทั่วไปแล้ว ไม่ใช่อาการที่อันตราย เพราะเกิดจากการที่ร่างกายสร้าง ฮอร์โมนโปรเจสเตอโรน (Progesterone) เพิ่มมากขึ้น แต่หากมีอาการไข้สูงมาก อาจต้องปรึกษาแพทย์ เพื่อตรวจดูอาการเพิ่มเติม
13. ท้องผูก
เมื่อฮอร์โมนโปรเจสเตอโรน (Progesterone) สูงขึ้น จะทำให้ระบบย่อยอาหารทำงานช้าลง ส่งผลให้มีอาการท้องผูก สามารถบรรเทาลงได้ ด้วยการดื่มน้ำเยอะ ๆ ทานอาหาร หรือผลไม้ที่มีกากใยสูง ออกกำลังกายเบา ๆ เช่น โยคะ เดิน
14. ท้องอืด แน่นท้อง
อาการท้องอืด แน่นท้อง อาจเกิดขึ้นได้เช่นเดียวกัน โดยมีสาเหตุมาจาก ฮอร์โมนโปรเจสเตอโรน (Progesterone) สูงขึ้น เหมือนกับอาการท้องผูก ทั้งนี้ ไม่ควรซื้อยาระบายมาทานเอง ควรทานยาภายใต้การดูแลของแพทย์เท่านั้น
15. มีตกขาวมากกว่าปกติ
การมีตกขาวมากกว่าปกติของคนท้อง เกิดจากฮอร์โมนเอสโตรเจน (Estrogen) เพิ่มสูงขึ้น ทำให้มีสารคัดหลั่งต่าง ๆ ในร่างกาย ออกมาทางช่องคลอดมากกว่าปกติ และหลุดออกมาเป็นตกขาว แต่โดยทั่วไปแล้ว ตกขาวจะมีลักษณะเป็นมูกใส หรือสีขาวขุ่น ไม่มีกลิ่น และไม่มีอาการคัน หากตกขาวมีกลิ่น หรือมีอาการคัน ควรพบแพทย์ เพื่อตรวจดูอาการเพิ่มเติม
16. มีเลือดออกจากช่องคลอด
คุณแม่ตั้งครรภ์ อาจมีเลือดออกกะปริบกะปรอย คล้ายกับเวลาประจำเดือนใกล้หมด มักพบได้ในช่วง 1-3 เดือนของการตั้งครรภ์ เกิดจากตัวอ่อนไปฝังตัวอยู่บนผนังมดลูก แต่ถ้าหากคุณแม่ท่านไหนเลือดไหลไม่หยุด และมีอาการปวดเกร็งร่วมด้วย ควรรีบพบแพทย์ เพราะอาจเป็นการตั้งครรภ์นอกมดลูก หรืออาจเกิดการแท้งลูกได้
17. เป็นตะคริวที่ท้องน้อย
การปวดหน่วง หรือเป็นตะคริวที่ท้องน้อย อาจเกิดขึ้นได้ ในช่วง 1-2 สัปดาห์ของการตั้งครรภ์ ซึ่งเป็นผลมาจาก ร่างกายเร่งผลิตฮอร์โมนต่าง ๆ เพื่อนำมาหล่อเลี้ยงทารกในครรภ์ โดยปกติแล้วจะมีอาการเพียงไม่กี่วัน และไม่ได้รุนแรงมาก หากคุณแม่ท่านไหน มีอาการปวดหน่วงรุนแรง หรือเป็นตะคริวติดต่อกันนาน ๆ ควรพบแพทย์ เพื่อตรวจหาภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ เพิ่มเติม
18. หายใจถี่ขึ้น
คุณแม่ตั้งครรภ์ อาจมีอาการหายใจถี่มากกว่าเดิม เนื่องจาก ฮอร์โมนโปรเจสเตอโรน (Progesterone) ไปขยายขนาดปอด สำหรับหายใจเอาออกซิเจนเข้าปอดได้มากขึ้น เพื่อนำไปหล่อเลี้ยงทารกในครรภ์ นอกจากนั้นยังเป็นการเร่งกำจัดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกไปด้วย และเมื่ออายุครรภ์มากขึ้น ทารกในครรภ์โตขึ้นเรื่อย ๆ ก็อาจจะกดเบียดกระบังลมของคุณแม่ ทำให้คุณแม่หายใจลำบากขึ้นได้
19. แสบร้อนกลางอก
อาการแสบร้อนกลางอก เป็นหนึ่งในอาการของคนท้อง เกิดจากการหลั่งของ ฮอร์โมนโปรเจสเตอโรน (Progesterone) ที่ส่งผลกระทบต่อการทำงานของระบบย่อยอาหาร ทำให้น้ำย่อย ซึ่งมีฤทธิ์เป็นกรด ไหลย้อนขึ้นมา หรือที่เราเรียกกันว่า อาการกรดไหลย้อน ส่งผลให้เกิดอาการแสบร้อนกลางอก เรอเปรี้ยว ระคายเคืองลำคอได้
20. สิวขึ้นหลัง
หากอยู่ ๆ ไม่เคยเป็นสิวมาก่อน แล้วมีสิวขึ้นที่บริเวณหลัง หรือบริเวณต่อมไขมันต่าง ๆ ในร่างกาย อาจบอกได้ว่าคุณกำลังจะมีเบบี๋ เพราะอาจเกิดจาก ฮอร์โมนโปรเจสเตอโรน (Progesterone) เพิ่มสูงขึ้น จนไปกระตุ้นต่อมน้ำมันใต้ผิวหนัง ทำให้เกิดการอุดตัน จนเกิดเป็นสิวที่บริเวณต่าง ๆ
อาการที่กล่าวมาทั้งหมด เป็นเพียงอาการเบื้องต้นของการตั้งครรภ์ ซึ่งอาจคล้ายกับอาการก่อนมีประจำเดือน หรืออาการป่วยอื่น ๆ ได้ ดังนั้นหากไม่แน่ใจว่าท้องหรือไม่ ควรตรวจการตั้งครรภ์ เพื่อผลลัพธ์ที่แม่นยำ และชัดเจนที่สุด และถ้าหากพบว่ากำลังตั้งครรภ์แล้ว คุณแม่ควรไปฝากครรภ์กับแพทย์ เพื่อดูแลสุขภาพของทั้งแม่และเด็ก ให้สมบูรณ์แข็งแรง ตลอดระยะเวลาตั้งครรภ์ค่ะ
ที่มา: Sikarin Hospital , Vichaivej Hospital
บทความอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
ประจำเดือนไม่มา 1 เดือน จะท้องไหม เมนส์ไม่มากี่วันถึงท้อง
ตรวจครรภ์ขึ้น 2 ขีด ท้องหรือไม่? ควรทำอย่างไรเมื่อตรวจเจอ 2 ขีด?
คนท้องแพ้ท้อง อ้วกเป็นเลือด อ้วกเป็นฟอง อ้วกแบบไหนอันตรายต้องพบแพทย์ ?!?