เรื่องใกล้ตัวพ่อกังวลใจ แม่ท้อง กับ ทันตกรรม สามารถทำได้หรือไม่ เคยได้ยินมาว่าเสี่ยงอันตราย แล้วแบบนี้คุณแม่ควรทำ ทันตกรรม หรือไม่
ทันตกรรม คืออะไร ?
ทันตกรรมแบบทั่วไป จะหมายถึง การตรวจสอบสภาพช่องปากและฟันการทำความสะอาด การทันตกรรมเป็นการรักษาสภาพเหงือกและฟัน เพื่อสุขภาพอนามัยที่ดีแก่ช่องปาก
การตรวจวินิจฉัยโรคทางทันตกรรม
การวินิจฉัยโรคทางทันตกรรมนั้น จะตรวจด้วยทันตแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญแต่ละด้าน และมีเครื่องเอกซเรย์ 3 มิติ ที่ทำให้ทันตแพทย์วินิจฉัยได้อย่างแม่นยำและตรงจุดมากขึ้น
ทำไมต้องตรวจฟัน
เนื่องจากการตรวจฟันเป็นขั้นตอนเบื้องต้นที่มีความสำคัญที่สุด ทันตแพทย์จะสามารถวิเคราะห์และวางแผนการรักษาได้อย่างแม่นยำและตรงจุด ในบางรายทันตแพทย์จะ X-ray เพื่อวิเคราะห์บางกรณีที่ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า เช่น การหาก้อนเนื้อ การตรวจหาฟันผุตามซอกฟัน
กี่เดือนถึงจะตรวจฟัน
แนะนำให้พบทันตแพทย์เพื่อตรวจฟันทุก 6 เดือน เพื่อที่คุณหมอจะเช็คฟันที่เราอาจจะทำความสะอาดไม่ทั่วถึง ถ้าฟันและเหงือกของคุณมีรูปทรงที่ผิดปกติ ไม่ได้เกิดจากอุบัติเหตุ ก็ไม่จำเป็นต้องพบทันตแพทย์อีกเป็นระยะนานถึง 3-6 เดือน
แต่ถ้าหาก มีกลิ่นปาก เสียวฟัน ปวดฟัน ฟันโยก ควรรีบไปปรึกษาทันตแพทย์ทันที
ทำไมต้องขูดหินปูน ?
การขูดหินปูนเป็นวิธีการรักษาทางทันตกรรมที่ช่วยขจัดหินปูน หรือแบคทีเรียบนผิวฟัน ซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดฟันผุ กลิ่นปาก มีคราบฟัน หรือ โรคเหงือก เนื่องจากหินปูน เกิดจากคราบจุลินทรีย์ หรือเศษอาหารที่สะสมอยู่ ตามซอกฟันเนื่องจากเป็นบริเวณที่ทำความสะอาดได้ไม่ทั่วถึง ดังนั้นจึงจำเป็นจะต้องขูดหินปูนอย่างสม่ำเสมอ เพื่อสุขภาพช่องปากที่แข็งแรง
ทำไมหมอขัดฟันให้หลังขูดหินปูหินเสร็จ
การขัดพื้นผิวฟัน จะช่วยให้ฟันมีผิวที่เรียบเนียนขึ้น ซึ่งนอกจากจะสามารถช่วยให้ฟันดูมีความสวยงามแล้ว ยังช่วยขจัดคราบอาหาร แบคทีเรียและหินปูน จึงเป็นการช่วยลดการเกิดปัญหาทางทันตกรรมได้อย่างง่ายๆ
ทันตกรรมสำคัญต่อคุณแม่ตั้งครรภ์อย่างไร ?
การดูแลสุขภาพช่องฟันมีความสำคัญต่อ คุณแม่ตั้งครรภ์และลูก เนื่องจากทันตแพทย์จะให้คำปรึกษา ตลอดจนการดูแลรักษาสุขภาพช่องปากของคุณแม่ตั้งครรภ์อย่างเหมาะสมในแต่ละราย ทันตแพทย์จะเน้นย้ำให้หญิงตั้งครรภ์เห็นความสำคัญของการดูแลสุขภาพช่องปาก และการเลื่อนการรักษาทางทันตกรรมที่จำเป็นออกไป อาจจะส่งผลเสียต่อคุณแม่ตั้งครรภ์และมีผลต่อลูกในท้องอีกด้วย
อายุครรภ์ที่เหมาะสมและการรักษาทางทันตกรรม
การให้การรักษาทางทันตกรรมในช่วงไตรมาสที่ 1 (สัปดาห์)
ในไตรมาสที่ 1 นั้นเป็นช่วงที่ทารกกำลังสร้างอวัยวะต่างๆ (organogenesis)dHmk การได้รับรังสียา หรือสารที่สามารถทำให้ทารกในครรภ์มารดาเกิดความผิดปกติ (teratogen) ดังนั้นจึงแนะนำให้ทำการรักษาทางทันตกรรมเฉพาะอาการฉุกเฉินเท่านั้น การรักษารากฟันหรือการถอนฟัน อีกทั้งเป็นช่วงที่คุณแม่ตั้งครรภ์มีอาการคลื่นไส้ อาเจียน แพ้ท้อง อาจเป็นอุปสรรคต่อการรักษา ดังนั้นจึงควรเลื่อนการรักษาที่ไม่ฉุกเฉินไป
ในช่วงไตรมาสที่ 2 หรือ 3 และห้ามใช้ไนตรัสออกไซด์ในช่วงการตั้งครรภ์ในไตรมาสแรกเนื่องจากทำให้เกิดความเสี่ยงในการแท้งสูงการให้การรักษาทางทันตกรรมในช่วงไตรมาสที่ 2 (สัปดาห์)
ในช่วงไตรมาสที่สองเป็นช่วงที่ทารกในครรภ์มีการสร้างอวัยวะต่างๆสมบูรณ์ การรักษาทางทันตกรรมทั้งแบบฉุกเฉินและไม่ฉุกเฉินสามารถทำได้ รวมถึงการถอนฟัน การรักษารากฟัน
ในช่วงไตรมาสที่ 3 (สัปดาห์)การรักษาทางทันตกรรมในช่วงไตรมาสที่สามควรเป็นหัตถการที่ใช้เวลาเพียงสั้นๆ เนื่องจากการเอนนอน เป็นระยะเวลานานๆจะทำให้หญิงตั้งครรภ์รู้สึกไม่สบายตัว เนื่องจากขนาดของท้องที่ใหญ่กดทับทำให้ความดันโลหิตต่ำ วิเวียนศรีษะได้ จึงควรจัดท่าทางให้เหมาะสม
ในช่วงครึ่งหลังของไตรมาสที่ 3 ควรหลีกเลี่ยงการรักษาที่ไม่ฉุกเฉิน ระมัดระวังเพราะการเกิด aspiration โดยเฉพาะในช่วงไตรมาสที่ 3 เนื่องจากการย่อยอาหารที่ช้าลง ทำให้มี content สะสมเต็มในกระเพราะอาหาร
การดูแลช่องปากสำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์
- ไปพบทันตแพทย์
- แจ้งทันตแพทย์เกี่ยวกับยาที่ใช้
- เปลี่ยนยาสีฟันที่เป็นสาเหตุของอาการแพ้ท้อง
- บ้วนปากอย่างสม่ำเสมอ
- เสริมแคลเซียม
- รับประทานวิตามินดีให้มากขึ้น
โรคช่องปากกับคุณแม่ตั้งครรภ์
โรคปริทันต์(periodontal disease) โรคเหงือกอักเสบเป็นโรคในช่องปากที่พบได้มากที่สุดในช่วงการตั้งครรภ์
- โดยมีอาการแสดงตั้งแต่ เหงือกบวมแดงเล็กน้อย จนถึงเหงือกเลือดออกง่ายและเจ็บปวด อาการ ของเหงือกอักเสบจะชัดเจนในช่วงอายุครรภ์ไตรมาสที่ 2 และ 3 และมีความแตกต่างจากเหงือกอักเสบทั่วไป คือ เหงือกอักเสบในหญิงตั้งครรภ์จะมีการตอบสนองด้วยอาการอักเสบที่รุนแรงแม้มีการสะสมของคราบจุลินทรีย์ หรือหินน้ำลายเพียงเล็กน้อย แตกต่างจากโรคเหงือกอักเสบทั่วไป โรคปริทันต์ที่พบมากขึ้นในช่วงตั้งครรภ์เป็นผล จากอิทธิพลของการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนเอสโตรเจนและโปรเจสเตอโรนในช่วงตั้งครรภ์ (1, 2) ทำให้เกิดการ กดการทำงานและการตอบสนองของภูมิคุ้มกัน
โรคฟันผุ
หญิงตั้งครรภ์มักจะมีพฤติกรรมการกินอาหารที่มากขึ้น รวมถึงความเป็นกรดในช่องปากที่เกิดขึ้นภายหลังการอาเจียน หรือกรดไหลย้อน และการเปลี่ยนแปลงขององค์ประกอบของน้ำลายที่มีความเป็นกรดที่มากขึ้น ทำให้หญิงตั้งครรภ์มีความเสี่ยงในการเกิดฟันผุมากขึ้น
ที่มา : orthosmilekorat.world
บทความอื่น ๆ ที่น่าสนใจ :
คนท้องอุดฟัน ถอนฟัน ขูดหินปูน จัดฟันได้ไหม ลูกในท้องจะเป็นอันตรายหรือเปล่า
อันตรายไหม หากคนท้องเดินผ่านเครื่องสแกนร่างกายทุกวัน