คนท้องกลั้นปัสสาวะ เสี่ยงคลอดก่อนกำหนดจริงหรือไม่? อันตรายอย่างไร?

ในระหว่างตั้งครรภ์คุณแม่ท้องมีโอกาสเกิดทางเดินปัสสาวะอักเสบได้บ่อยกว่าปกติ เนื่องจากคุณแม่มักจะปวดปัสสาวะบ่อย แต่คุณแม่ท้องบางคนไม่อยากเดินเข้าห้องน้ำบ่อยๆ จึงกลั้นปัสสาวะเอาไว้ รู้หรือไม่ว่า การกลั้นปัสสาวะ เพิ่มโอกาสการคลอดก่อนกำหนดได้

Loading...
You got lucky! We have no ad to show to you!
ติดต่อโฆษณา

ทำไมคนท้องปวดปัสสาวะบ่อย ปวดเยี่ยวคั้น ปัสสาวะแสบขัด

การปวดปัสสาวะบ่อยในคนท้องถือเป็นอาการแรกเริ่มอย่างหนึ่งของการตั้งครรภ์  ซึ่งเกิดจากขนาดของมดลูกที่ขยายใหญ่ขึ้น จนไปเบียดกระเพาะปัสสาวะ ทำให้กระเพาะปัสสาวะจุได้น้อยลง ในขณะเดียวกันไตก็ทำงานหนักขึ้น เพราะร่างกายต้องผลิตเลือดไปเลี้ยงมดลูกมากกว่าปกติ เมื่อเลือดผ่านไตมากขึ้น ไตก็ต้องกรองเอาปัสสาวะออกมามากขึ้น จึงทำให้คุณแม่ท้องปวดปัสสาวะบ่อยในช่วงไตรมาสแรกของการตั้งครรภ์

สำหรับไตรมาสสุดท้ายของการตั้งครรภ์ คุณแม่จะปวดปัสสาวะบ่อยอีกช่วงหนึ่ง เนื่องจากช่วงใกล้คลอด ศีรษะของลูกน้อยจะลดต่ำลงไปเบียดกระเพาะปัสสาวะ ทำให้ปวดปัสสาวะบ่อยไปจนกว่าจะคลอดเลยค่ะ

 

ทางเดินปัสสาวะอักเสบ ปัสสาวะแสบขัด ปัญหาใหญ่ของคนท้องที่ชอบกลั้นปัสสาวะ

การที่คุณแม่ท้องปัสสาวะบ่อย ถือเป็นเรื่องปกติของคนท้อง แต่หากคุณแม่มีอาการปัสสาวะแสบขัด หรือสีของปัสสาวะเปลี่ยนไป นั่นแสดงความคุณแม่มีอาการติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ

 

ทำไมคุณแม่ท้องจึงมีความเสี่ยงในการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ

เนื่องจากการขยายขนาดและการบิดของมดลูกไปเบียดท่อไตที่ขอบกระดูกอุ้งเชิงกราน ทำให้ขัดขวางการไหลของปัสสาวะ ประกอบกับฮอร์โมนการตั้งครรภ์ ซึ่งมีผลต่อกล้ามเนื้อเรียบของทางเดินปัสสาวะทำให้เกิดการไหลย้อนกลับของปัสสาวะ และเพิ่มโอกาสติดเชื้อขึ้นไปสู่ไตได้ง่ายขึ้น

Loading...
You got lucky! We have no ad to show to you!
ติดต่อโฆษณา

 

สัญญาณของการติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ

  1. สังเกตเห็นสีของปัสสาวะเปลี่ยนไป เช่น จากสีขาวใสหรือเหลืองใส เป็นขาวขุ่นหรือเหลืองขุ่น หรือเป็นสีส้มหรือสีแดงคล้ายเลือด แสดงว่ามีเชื้อแบคทีเรียในปัสสาวะ แต่ยังไม่มี การติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ สามารถพบได้ร้อยละ 5-6 ในคุณแม่ตั้งครรภ์
  2. ปัสาสาวะแสบขัด หรือปัสสาวะแบบกะปริบกะปรอย แสดงว่ามีอาการกระเพาะปัสสาวะอักเสบเฉียบพลัน ซึ่งเกิดขึ้นประมาณร้อยละ 5 ในคุณแม่ตั้งครรภ์ พบบ่อยในไตรมาสที่ 2 ของการตั้งครรภ์
  3. มีไข้สูง หนาวสั่น คลื่นไส้ อาเจียน ปวดบั้นเอว กดแล้วเจ็บบริเวณหลัง แสดงว่ามีการติดเชื้อในระดับกรวยไตอักเสบ พบได้ถึงร้อยละ 30 ในคุณแม่ที่มีเชื้อแบคทีเรียในปัสสาวะแต่ไม่ได้รับการรักษา โดยมักเกิดขึ้นในไตรมาสที่ 3 ของการตั้งครรภ์

การติดเชื้อระบบทางเดินปัสสาวะอันตรายต่อแม่ท้องอย่างไร คลิกหน้าถัดไป>

การติดเชื้อระบบทางเดินปัสสาวะอันตรายต่อแม่ท้องอย่างไร

หากคุณแม่ท้องไม่ได้รับการรักษา อาจเป็นอันตรายทั้งต่อตัวคุณแม่เอง และลูกน้อยในครรภ์ เพิ่มโอกาสการคลอดก่อนกำหนด ทารกตัวเล็กน้ำหนักน้อย หรืออาจตายแรกคลอด หากติดเชื้อรุนแรงอาจทำให้คุณแม่เกิดภาวะไตล้มเหลวได้

การรักษาพยาบาล

Loading...
You got lucky! We have no ad to show to you!
ติดต่อโฆษณา
  1. เมื่อพบเชื้อแบคทีเรียในปัสสาวะแต่ยังไม่แสดงอาการ มีแนวทางการรักษาดังนี้
  • รับประทานยาปฏิชีวนะทุก 6 ชั่วโมง อย่างน้อย 7-10 วัน
  • ดูแลสุขอนามัยส่วนบุคคล ทำความสะอาดด้วยน้ำเปล่า ไม่สวนล้างช่องคลอด
  • ดื่มน้ำมากๆ วันละ 2,000-3,000 ซีซี เพื่อให้ปัสสาวะเอาเชื้อแบคทีเรียออกมา
  • รับประทานยาให้ครบตามแพทย์สั่ง
  1. เมื่อกระเพาะปัสสาวะอักเสบ มีแนวทางการรักษาดังนี้
  • ดื่มน้ำมากๆ วันละ 2,000-3,000 ซีซี
  • ดูแลสุขอนามัยส่วนบุคคล ทำความสะอาดด้วยน้ำเปล่า ไม่สวนล้างช่องคลอด
  • ไม่ควรกลั้นปัสสาวะ
  • ไม่ควรสวมกางเกงในที่รัดหรือคับเกินไป
  • รับประทานยาปฏิชีวนะตามแพทย์สั่ง
  1. เมื่อกรวยไตอักเสบ มีแนวทางการรักษาดังนี้
  • สวนปัสสาวะเพื่อส่งตรวจวิเคราะห์
  • ให้ Antibiotic
  • นอนพักบนเตียงในท่าตะแคงซ้าย เพื่อให้เลือดไปเลี้ยงมดลูกและผ่านไปสู่ทารกในครรภ์ได้มากขึ้น
  • ดื่มน้ำให้เพียงพอ ให้สารน้ำทางหลอดเลือดดำ และทำ intake output
  • ตรวจวันสัญญาณชีพของแม่และฟังเสียงหัวใจของลูกบ่อยๆ
  • หากให้การรักษา 12 ชั่วโมงแล้วไม่ได้ผล คุณหมอจะอัลตร้าซาวนด์ เพื่อดูความผิดปกติในทางเดินปัสสาวะ
  • หลังคลอด 12 สัปดาห์ ควรตรวจซ้ำ เนื่องจากมีโอกาสเป็นซ้ำถึง 30-40% ในคุณแม่ท้องที่เคยติดเชื้อ
  • หากไม่มีไข้ 24 ชั่วโมง คุณหมอจะให้ antibiotic 7-10 วัน หลังจากนั้นจะทำการเพาะเชื้อจากปัสสาวะ 1-2 สัปดาห์

 

การป้องกันการติดเชื้อระบบทางเดินปัสสาวะระหว่างตั้งครรภ์

  1. ดื่มน้ำมากๆ เพื่อช่วยขับแบคทีเรียและเชื้อโรคออกไปพร้อมกับปัสสาวะให้มากที่สุด
  2. ไม่กลั้นปัสสาวะ ควรลุกไปเข้าห้องน้ำทุกครั้งที่ปวด เพื่อกำจัดแบคทีเรียบางส่วนออกไป
  3. ใช้น้ำเปล่าล้างทำความสะอาดจุดซ่อนเร้น ไม่สวนล้างช่องคลอด เพื่อไม่ให้แบคทีเรียที่อยู่ในช่องคลอดถูกทำลายจากน้ำยาอนามัยต่างๆ
  4. หลังจากปัสสาวะหรืออาบน้ำเสร็จควรใช้ผ้าซับให้แห้งทุกครั้ง
  5. สวมใส่กางเกงในที่ระบายอากาศได้ดี เพื่อป้องกันการอับชื้น และเป็นแหล่งสะสมของแบคทีเรีย
  6. ใช้ห้องน้ำสาธารณะด้วยความระมัดระวัง

หากคุณแม่ท้องสังเกตพบความผิดปกติตามที่กล่าวมาข้างต้น ควรรีบไปปรึกษาคุณหมอเพื่อตรวจวินิจฉัยและให้การรักษาแต่เนิ่น ๆ นะคะ

 

Loading...
You got lucky! We have no ad to show to you!
ติดต่อโฆษณา

บทความที่น่าสนใจอื่น ๆ :

ข้อห้าม 7 อย่างที่คุณไม่ควรทำกับช่องคลอด

รู้ไว้ไม่เสี่ยง! 6 ข้อห้ามสำหรับคนท้อง 1-3 เดือนแรก