สอนลูกให้รู้จักกาลเทศะ 5 พฤติกรรมพื้นฐาน ที่ควรฝึกตั้งแต่เล็ก

สอนลูกให้รู้จักกาลเทศะ ปลูกฝังวินัยทางสังคมให้ลูกตั้งแต่เล็ก ด้วยหลักจิตวิทยาเด็ก เข้าใจง่าย ทำได้จริง พร้อมตัวอย่างสถานการณ์ในชีวิตประจำวัน
เพราะเด็กที่เข้าใจว่าอะไรควรทำ ไม่ควรทำ ณ เวลาและสถานการณ์ต่าง ๆ จะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่น่ารัก มีวุฒิภาวะทางอารมณ์ และอยู่ร่วมกับคนอื่นในสังคมได้อย่างดี พ่อแม่จึงควร สอนลูกให้รู้จักกาลเทศะ ตั้งแต่ยังเล็ก
การ สอนลูกให้รู้จักกาลเทศะ คือการฝึกวินัยทางสังคม ให้เด็กรู้จักควบคุมตนเอง เข้าใจบริบท และเคารพผู้อื่น ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญของพัฒนาการด้าน EQ (Emotional Intelligence) และ Social Skill ที่จำเป็นต่อการใช้ชีวิตในสังคม
▼สารบัญ
กาลเทศะ คืออะไร ในภาษาที่เด็กเข้าใจ
คำว่า “กาลเทศะ” ในภาษาผู้ใหญ่ อาจฟังดูเป็นคำโบราณ แต่สำหรับเด็ก การอธิบายให้เข้าใจง่ายควรใช้คำว่า “รู้ว่าเมื่อไหร่ควรทำอะไร” หรือ “พูดหรือไม่พูดอะไรในเวลาและสถานที่ที่เหมาะสม”
ตัวอย่างคำอธิบายให้ลูกเข้าใจ:
- “ถ้าเราอยู่ในห้องสมุด ต้องพูดเบา ๆ เพราะมีคนกำลังอ่านหนังสืออยู่”
- “ร้านอาหารคือที่ที่คนอื่นมากินข้าว เราเลยไม่ควรวิ่งหรือเสียงดัง”
ทฤษฎีของ Lev Vygotsky นักจิตวิทยาชาวรัสเซีย กล่าวไว้ว่า การเรียนรู้ของเด็กเกิดจากบริบทสังคม และการเลียนแบบ ดังนั้น เด็กจะเรียนรู้กาลเทศะจากพฤติกรรมของคนรอบข้าง โดยเฉพาะพ่อแม่และครู
ทำไม “กาลเทศะ” จึงสำคัญกับพัฒนาการเด็ก
งานวิจัยของ Harvard University’s Center on the Developing Child (2020) ชี้ว่า เด็กที่มีพัฒนาการด้าน Self-regulation และ Social Awareness ตั้งแต่เล็ก มีแนวโน้มประสบความสำเร็จในชีวิตสูงขึ้นถึง 46% เมื่อเติบโตเป็นผู้ใหญ่
กาลเทศะ คือหนึ่งในทักษะพื้นฐานของการควบคุมตนเอง (self-regulation) ที่ช่วยให้เด็ก
- มี EQ สูง
- ปรับตัวกับผู้อื่นได้ดี
- สื่อสารอย่างมีจังหวะเวลา
- เข้าใจว่าความรู้สึกของตัวเองไม่ใช่สิ่งเดียวที่ต้องคำนึงถึง
เด็กแต่ละวัยเรียนรู้กาลเทศะได้แค่ไหน?
การ สอนลูกให้รู้จักกาลเทศะ ต้องสอดคล้องกับพัฒนาการของสมองและอารมณ์ในแต่ละช่วงวัย
ช่วงวัย | ความเข้าใจเรื่องกาลเทศะ |
2-3 ขวบ | ยังไม่เข้าใจบริบทสังคม เข้าใจเฉพาะ “ฉันอยากทำ” |
4-6 ขวบ | เริ่มเลียนแบบพฤติกรรมผู้ใหญ่ เข้าใจบ้างแต่ยังควบคุมตัวเองยาก |
7-10 ขวบ | เริ่มคิดจากมุมมองของคนอื่นได้ ควบคุมพฤติกรรมได้ดีขึ้น |
อ้างอิงจาก Jean Piaget’s Cognitive Development Theory เด็กวัยก่อน 7 ปีอยู่ในช่วงที่ยังเข้าใจโลกจากมุมของตัวเองเป็นหลัก ยังไม่สามารถคิดแบบมองมุมคนอื่นได้ จึงเป็นช่วงสำคัญที่พ่อแม่ต้องคอยสอนและชี้แนะด้วยความเข้าใจ
สอนลูกให้รู้จักกาลเทศะ 5 พฤติกรรมพื้นฐานที่ควรฝึกตั้งแต่เล็ก
1. พูดให้เหมาะกับสถานที่
เด็กควรรู้ว่าเสียงของตนมีผลต่อคนรอบข้าง การพูดเบาในห้องสมุด หรือส่งเสียงดังในร้านอาหาร ไม่เปิดเสียงจากลำโพงรบกวนผู้อื่น เป็นการเรียนรู้ความเคารพต่อพื้นที่สาธารณะ พ่อแม่สามารถชวนลูกสังเกตเสียงรอบตัว แล้วฝึกปรับน้ำเสียงตามสถานที่
2. ไม่พูดแทรกผู้ใหญ่
เด็กวัยอนุบาลมักอยากพูดในทันทีเมื่อมีความคิด แต่การฝึกให้รอฟังให้จบก่อนพูด เป็นการสร้างวินัยด้านการฟัง (Active Listening) และส่งเสริมมารยาทในการสนทนา พ่อแม่อาจใช้มือจับไหล่เบา ๆ เป็นสัญญาณรอพูด เพื่อช่วยให้ลูกอดทนได้มากขึ้น
3. รู้จักรอคิว
การฝึกรอคิวเป็นการปลูกฝังวินัย ความอดทน และความเท่าเทียมในสังคม เด็กจะเรียนรู้ว่าทุกคนมีสิทธิ์เท่ากัน ไม่ใช่แค่ “ใครมาก่อน ได้ก่อน” แต่รวมถึงการเข้าใจระบบที่ทุกคนต้องเคารพ
4. ขอโทษเมื่อทำผิด
คำขอโทษไม่ใช่แค่การพูด แต่คือการแสดงความรับผิดชอบ พ่อแม่ควรฝึกให้ลูกเข้าใจว่า การขอโทษคือการยอมรับในสิ่งที่เกิดขึ้น และช่วยเยียวยาความรู้สึกของผู้อื่น ไม่ใช่เรื่องน่าอาย แต่คือพฤติกรรมที่น่านับถือ
5. สังเกตสีหน้าคนรอบข้าง
เด็กที่สามารถอ่านสีหน้าและอารมณ์ของคนอื่นได้ จะเข้าใจว่าคำพูดหรือพฤติกรรมของตนมีผลต่อความรู้สึกผู้อื่นอย่างไร นี่คือก้าวแรกของ “Empathy” หรือความเข้าใจผู้อื่น พ่อแม่สามารถชวนลูกเล่นเกม “ทายอารมณ์จากหน้า” เพื่อฝึกเรื่องนี้อย่างสนุก
เทคนิคจิตวิทยา สอนอย่างไรให้ลูกเข้าใจและอยากทำตาม
1. ใช้การเสริมแรงทางบวก
ยกย่องลูกเมื่อเขาปรับพฤติกรรมได้ดี เช่น “แม่ชอบมากเลยที่ลูกพูดเบา ๆ ในห้องสมุดแบบนี้ เก่งมากเลยลูก”
2. เล่นบทบาทสมมติ
เช่น เล่นเป็นลูกค้าในร้านอาหาร แล้วให้ลูกลองฝึกนั่งรอคิว / สั่งอาหาร / ไม่ส่งเสียงดัง
3. ใช้เทคนิค “ถามกลับ”
“ถ้าเราไปพูดแบบนี้ที่โรงเรียน เพื่อนจะรู้สึกยังไงน้า?”
4. ใช้ตัวอย่างจากคนรอบตัว
“เมื่อกี้เห็นพี่คนนั้นพูดกับคุณป้าเบา ๆ เลยนะ ลูกคิดว่าแบบนั้นดีไหม?”
ทฤษฎีของ Albert Bandura เรื่องการเรียนรู้ผ่านการสังเกต สนับสนุนว่า เด็กจะเรียนรู้พฤติกรรมเหมาะสมผ่านสิ่งที่เขาเห็นและสัมผัสมากกว่าคำสอนเพียงอย่างเดียว
ตัวอย่างสถานการณ์ที่พ่อแม่สามารถใช้สอนลูก |
|
ลูกพูดเสียงดังในร้านอาหาร | “ที่นี่มีคนอื่นกำลังกินข้าวอยู่ด้วย เราลองพูดเบา ๆ เหมือนเวลาเราเล่นคุณครูดีไหมจ๊ะ” |
ลูกแทรกบทสนทนา | แม่อยากฟังที่ลูกพูดมากเลย แต่ตอนนี้แม่คุยกับคุณป้าก่อน พอแม่พูดจบแล้วหนูเล่าให้แม่ฟังนะคะ |
ลูกพูดตรงจนคนอื่นเขิน | หนูพูดตรงดีมากเลย แต่ถ้าเราพูดเรื่องนี้ต่อหน้าเค้า อาจทำให้เขาเสียใจได้นะลูก เราลองคิดคำพูดใหม่ดีไหม |
ปัญหาที่พ่อแม่มักเจอเมื่อต้องสอนลูกเรื่องกาลเทศะ
1. ลูกไม่ฟังหรือแสดงพฤติกรรมต่อต้าน
เด็กอาจรู้สึกถูกควบคุม พ่อแม่ควรใช้วิธี ให้ลูกมีส่วนร่วม เช่น ชวนลูกคิดกติกาด้วยกัน
2. ลูกทำตามแต่ไม่เข้าใจ
เด็กบางคนอาจทำตามเพราะกลัวโดนดุ แต่ยังไม่เข้าใจเหตุผล ให้ลองทบทวนด้วยนิทานหรือภาพประกอบ
3. พ่อแม่ทำขัดกับที่สอน
เช่น ดุลูกเรื่องเสียงดัง แต่พ่อแม่กลับตะโกนใส่โทรศัพท์อยู่ เด็กจะสับสนและไม่เรียนรู้กาลเทศะอย่างแท้จริง ดังนั้นควรจำไว้เสมอว่า ลูกเรียนรู้จากสิ่งที่เราทำ มากกว่าสิ่งที่เราพูด
การสอนกาลเทศะคือกระบวนการปลูกฝังทักษะทางสังคมให้ลูกเข้าใจคนอื่นและเข้าใจตนเองไปพร้อมกัน เด็กที่รู้จักกาลเทศะไม่ใช่แค่ “ว่านอนสอนง่าย” แต่จะเป็นเด็กที่ปรับตัวดี เห็นอกเห็นใจผู้อื่น รู้เวลาไหนควรพูด ควรหยุด ควรฟัง และเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่ใคร ๆ ก็อยากอยู่ใกล้
ที่มา: Harvard University , CDC
บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ
20 สิ่งที่ควรสอนลูกสาว ก่อนที่จะโตเป็นผู้ใหญ่ บทเรียนชีวิตสำหรับลูกสาวยุคใหม่
50 สิ่งที่พ่อควรสอนลูกชาย ตั้งแต่เด็ก บทเรียนที่ลูกชายจะใช้ได้ตลอดไป
9 วิธี สอนลูกให้มีความพยายาม แนวทางสร้างลูกที่ไม่ยอมแพ้ตั้งแต่วัยเด็ก