น้องจีโอ้ ผู้ป่วยโควิด-19 ปลูกถ่ายสเต็มเซลล์ รักษาธาลัสซีเมีย สำเร็จ
การปลูกถ่ายสเต็มเซลล์ น้องจีน - น้องจีโอ้ สำเร็จแล้ว โดยน้องชาย ผู้ป่วยโควิด 19 ปลูกถ่ายสเต็มเซลล์ รักษาพี่สาวป่วยโรคธาลัสซีเมีย ความสำเร็จเคสแรกของโลก
น้องจีโอ้ ผู้ป่วยโควิด-19 ปลูกถ่ายสเต็มเซลล์ รักษาธาลัสซีเมีย สำเร็จ
แพทย์รามาธิบดี ได้จัดงานแถลงข่าวกับสื่อมวลชน เกี่ยวกับเรื่องราวการรักษาปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิดของน้องจีนโดยที่ผู้บริจาค น้องจีโอ้ เมื่อช่วงเดือนเมษายนที่ผ่านมา การปลูกถ่ายสเต็มเซลล์ น้องจีน – น้องจีโอ้ สำเร็จแล้ว โดยน้องชาย ผู้ป่วยโควิด-19 ปลูกถ่ายสเต็มเซลล์ รักษาพี่สาวป่วยโรคธาลัสซีเมีย ความสำเร็จเคสแรกของโลก
จากกรณีเรื่องราวการเจ็บป่วยของสองพี่น้อง น้องจีน พี่สาววัย 7 ขวบ ที่ต้องเข้ารับการรักษาโรคธาลัสซีเมียตั้งแต่กำเนิด และน้องจีโอ้ น้องชายวัย 4 ขวบ ที่อาสาบริจาคสเต็มเซลล์ให้กับพี่สาว แต่ขณะที่เตรียมตัวจะบริจาคให้พี่สาวที่ป่วยหนัก หมอกลับตรวจพบว่า น้องจีโอ้ ป่วยเป็นโรคโควิด-19 เมื่อช่วงเดือนเมษายน 2563
เมื่อวันที่ 23 มิ.ย.63 ไทยโพสต์ รายงานว่า มูลนิธิรามาธิบดี ในพระราชูปถัมภ์สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ร่วมด้วย คณะแพทย์ศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล แถลงข่าวความสำเร็จในการปลูกถ่ายสเต็มเซลล์อย่างเร่งด่วนเคสแรกของโลก ในช่วงวิกฤตโควิด-19 จากน้องจีโอ้-เด็กชายศิลา บุญกล่อมจิตร ผู้บริจาคไขกระดูกวัย 5 ขวบ ในฐานะผู้ติดเชื้อโควิด-19 เพื่อรักษาน้องจีน-เด็กหญิงจินตนาการ บุญกล่อมจิตร พี่สาววัย 7 ขวบ ผู้ป่วยโรคธาลัสซีเมียตั้งแต่กำเนิด ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญของรามาธิบดี
ทางด้าน ศ.นพ.สุรเดช หงส์อิง แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิดในเด็ก อาจารย์ประจำภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า การรักษาน้องจีน ถือว่าเป็นเคสพิเศษเพราะได้ทำการรักษาในช่วงโควิด-19 ซึ่งแผนการดำเนินการปลูกถ่ายสเต็มเซลล์อยู่ในเดือนเมษายน เป็นช่วงพีคของการระบาดโควิด-19 การทำงานของคณะแพทย์จะต้องแข่งกับเวลา เนื่องจากน้องจีนได้เข้ากระบวนการเตรียมความพร้อมของร่างกาย ด้วยการรับเคมีบำบัดหรือคีโม ทำให้ร่างกายมีภูมิคุ้มกันต่ำและเสี่ยงอันตรายถึงชีวิต หากไม่ได้รับการปลูกถ่ายสเต็มเซลล์ในเวลานั้น
ซึ่งทำให้เคสนี้จึงมีความท้าทายและซับซ้อนเป็นอย่างมาก ในขณะเดียวกันในวันที่จะต้องเก็บสเต็มเซลล์น้องจีโอ้ กลับตรวจพบว่าติดเชื้อโควิด-19 ทำให้ต้องอยู่ในฐานะผู้ป่วยอีกคน ทั้งสองคนยังอายุน้อยด้วยกันทั้งคู่ ทุกขั้นตอนจึงต้องมีความระมัดระวังเป็นพิเศษ การจัดเก็บสเต็มเซลล์จากไขกระดูกจึงมีความเสี่ยงหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นความเสี่ยงของสเต็มเซลล์ที่ได้จะมีเชื้อโควิด-19 รวมถึงขั้นตอนการปลูกถ่ายที่ทีมแพทย์ต้องรับมือกับความเสี่ยงขณะปฏิบัติหน้าที่อีกด้วย
รศ.นพ.อุษณรัสมิ์ อนุรัฐพันธ์ แพทย์ผู้ดำเนินการปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิด อาจารย์สาขาวิชาโลหิตวิทยาและมะเร็งวิทยา ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล ให้ข้อมูลว่า โรคธาลัสซีเมีย (Thalassemia) เป็นโรคโลหิตจางทางพันธุกรรม โดยประชากรไทยมีพาหะของโรคหรือสามารถเพาะโรคได้ประมาณร้อยละ 40 และมีผู้ป่วยโรคนี้ถึงขั้นรุนแรงและต้องรักษาเพิ่มเติมประมาณ 1 แสนราย ซึ่งเป็นกลุ่มที่สามารถรักษาด้วยการปลูกถ่ายสเต็มเซลล์จากไขกระดูกของบุคคลอื่น โดยทั้งผู้ให้และผู้รับต้องมีความเข้ากันได้ของเนื้อเยื่อโดยสมบูรณ์ 100%
สำหรับเคสน้องจีน ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะการจะหาสเต็มเซลล์ที่เข้ากันได้ในผู้บริจาคที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกันทางพันธุกรรมมีน้อยมาก คิดเป็นอัตราส่วน 1 ใน 20,000-50,000 ราย ซึ่งต้องใช้เวลา ส่วนการตัดต่อยีนส์ไม่สามารถทำได้ ดังนั้นสเต็มเซลล์ของน้องจีโอ้จึงเป็นความหวังเดียว
โดย รศ.นพ.อุษณรัสมิ์ กล่าวต่อว่า แต่ก่อนเก็บสเต็มเซลล์ได้มีการตรวจคัดกรองเชื้อโควิด-19 ซึ่งจากประวัติก็พบว่าไม่มีความเสี่ยง แต่เมื่อตรวจด้วยวิธี RT-PCR ผลออกมาเป็นบวก และวันต่อมาก็ต้องปลูกถ่ายสเต็มเซลล์ให้น้องจีน ซึ่งได้รับยาเคมีบำบัดขนาดสูงไปแล้วนั้น อาจจะทำให้เกิดภาวะไขกระดูกฝ่อ และภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ โดยเฉพาะการติดเชื้อ จึงได้มีการประชุมกับทีมแพทย์โรงพยาบาลทันทีกว่า 4 ชั่วโมง ก็มีมติคือต้องดำเนินการปลูกถ่ายสเต็มเซลล์จากน้องจีโอ้ไปยังน้องจีนตามแผน
แต่น้องจีโอ้จะต้องถูกย้ายตัวไปกักโรคและรักษายัง โรงพยาบาลรามาธิบดีจักรีนฤบดินทร์ ที่เป็นศูนย์ดูแลรักษาผู้ป่วยโควิด-19 เมื่อถึงยังโรงพยาบาลทีมแพทย์ก็ต้องสวมชุด PPE ในการดำเนินการผ่าตัดเจาะไขกระดูก ประมาณกว่า 1 ชั่วโมง และนำกลับมาตรวจอีกครั้ง เพราะคนไข้ที่เป็นโควิด-19 จะติดเชื้อในกระแสเลือดร้อยละ 10 ซึ่งผลออกมาพบว่าไขกระดูกไม่มีการติดเชื้อทำให้การรักษาปลูกถ่ายให้น้องจีนยังคงรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลรามาธิบดีง่ายขึ้น จากนั้นก็ตรวจเช็คเป็นระยะกว่า 10 วัน ก็สามารถกลับบ้านได้
ในส่วนของครอบครัวน้องจีน-น้องจีโอ้ นายสุชาย บุญกล่อมจิตร ผู้เป็นพ่อ เล่าว่า น้องจีนมีแนวโน้มป่วยเป็นโรคธาลัสซีเมีย ตั้งแต่ยังอยู่ในครรภ์ ที่ผ่านมาน้องจีนเข้ารับการรักษาและอยู่ภายใต้การดูแลของทีมแพทย์ โรงพยาบาลรามาธิบดี มาโดยตลอด จนปลายปี 2561 ครอบครัวได้รับข่าวดี ว่าผลการตรวจเนื้อเยื่อของน้องจีนและน้องจีโอ้เข้ากันได้ ครอบครัวจึงตัดสินใจให้น้องจีนเข้ารับการรักษาด้วยการปลูกถ่ายสเต็มเซลล์อย่างไม่ลังเล โดยน้องจีนได้รับคิวผ่าตัดในเดือนเมษายนที่ผ่านมา แต่ในเวลานั้นก็ได้ทราบน้องจีโอ้ติดเชื้อโควิด-19 และภรรยาเองก็ติดเชื้อไปด้วย ทุกคนจำเป็นต้องแยกจากกันในช่วงเวลาที่ยากลำบากที่สุด
โดยระหว่างทำการรักษา ทางครอบครัวก็ได้รับกำลังใจบุคลกรทางการแพทย์และทีมแพทย์ผู้รักษาเป็นอย่างมาก จึงทำให้สามารถก้าวผ่านปัญหามาได้ อีกทั้งทางทีมแพทย์ยังได้เข้ามาพูดคุยและให้ความเชื่อมั่นว่าจะประสบความสำเร็จ และมันก็เป็นดังที่ทุกคนคาดหวังไว้ นอกจากความน่ายินดีเกี่ยวกับอาการป่วยของน้องจีนแล้ว เรายังได้เห็นศักยภาพและความก้าวหน้าของการแพทย์ไทยที่ยกระดับขึ้นไปอีกขึ้น
อย่างไรก็ตามทาง TheAsianparent ขอแสดงความยินดีกับครอบครัวน้องจีนและน้องจีโอ้ด้วย ขอให้ทั้งคู่เติบโตขึ้นมาเป็นเด็กที่แข็งแรงและมีความสุขในสังคมที่ดีต่อไป และขอเป็นกำลังใจให้กับครอบครัวน้องที่ผ่านพ้นเรื่องราวมากมายมาได้ และขอชื่นชมทีมแพทย์จากใจที่สามารถสร้างปรากฎการให้กับวงการแพทย์ไทยได้และยังสามารถช่วยเหลือชีวิตของสาวน้อยอย่างน้องจีนไว้ได้อย่างที่ทุก ๆ คนได้ภาวนาและคอยให้กำลังใจอยู่
Source : Thaipost , ศิลากับจินตนาการ
บทความอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
ลูกเป็นโรคธาลัสซีเมีย ดูแลอย่างไร ต้องระวังเรื่องไหน เมื่อไหร่ควรพาลูกไปหาหมอ
ธาลัสซีเมีย พ่อแม่เป็นพาหะธาลัสซีเมีย ผลกระทบของธาลัสซีเมียในหญิงตั้งครรภ์ ทารกในครรภ์เสี่ยงแค่ไหน