ริดสีดวงหลังคลอด สาเหตุ อาการ และวิธีรับมือสำหรับคุณแม่

undefined

ริดสีดวงหลังคลอดเป็นภาวะที่พบได้บ่อยในคุณแม่หลังคลอดบุตร ซึ่งส่งผลต่อคุณภาพชีวิตและการทำกิจวัตรประจำวัน

สำหรับคุณแม่ที่เพิ่งผ่านพ้นช่วงเวลาแห่งการคลอดบุตร การดูแลสุขภาพร่างกายเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง หนึ่งในปัญหาที่อาจเกิดขึ้นและสร้างความกังวลใจคือ ริดสีดวงหลังคลอด theAsianparent จะชวนคุณแม่มาทำความเข้าใจถึงปัจจัยเสี่ยง อาการที่ควรสังเกต และที่สำคัญที่สุดคือ วิธีการดูแลตัวเองและรับมือกับริดสีดวงอย่างถูกต้อง เพื่อให้คุณแม่สามารถกลับมามีสุขภาพที่ดีและมีความสุขกับการเลี้ยงดูลูกน้อยได้อย่างเต็มที่

 

ริดสีดวงหลังคลอด …ทำความรู้จัก “ริดสีดวงทวาร” คืออะไร?

ริดสีดวงทวาร (Hemorrhoids หรือ Piles) คือ ภาวะที่เกิดจากการโป่งพองของหลอดเลือดดำบริเวณทวารหนักและส่วนปลายของลำไส้ใหญ่ส่วนปลาย (Rectum) คล้ายกับเส้นเลือดขอดที่ขา แต่เกิดขึ้นที่บริเวณขอบทวารหนักหรือภายในทวารหนัก ลองจินตนาการภาพ บริเวณทวารหนักของเรามีกลุ่มหลอดเลือดดำเล็กๆ ที่ทำหน้าที่ช่วยในการควบคุมการขับถ่ายอุจจาระ เมื่อแรงดันในบริเวณนี้เพิ่มสูงขึ้น เช่น จากการเบ่งถ่ายอุจจาระเป็นเวลานาน ท้องผูกเรื้อรัง การตั้งครรภ์ หรือน้ำหนักตัวมากเกินไป หลอดเลือดดำเหล่านี้ก็จะขยายตัวและโป่งพองออกมา กลายเป็น “ริดสีดวงทวาร” ในที่สุด

ริดสีดวงทวารสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ชนิดหลักๆ ตามตำแหน่งที่เกิดขึ้น

  1. ริดสีดวงทวารภายนอก (External Hemorrhoids): เกิดขึ้นบริเวณใต้ผิวหนังรอบขอบทวารหนัก คุณสามารถคลำเจอก้อนเนื้อนิ่มๆ ได้ มักมีอาการเจ็บปวด คัน หรือระคายเคือง โดยเฉพาะเมื่อเกิดการอักเสบหรือมีลิ่มเลือดอุดตัน (Thrombosed External Hemorrhoid)
  2. ริดสีดวงทวารภายใน (Internal Hemorrhoids): เกิดขึ้นภายในทวารหนัก มักไม่มีอาการเจ็บปวดในระยะแรก แต่อาจมีเลือดสดๆ ออกมาขณะถ่ายอุจจาระ หรือหลังถ่ายอุจจาระ ริดสีดวงภายในสามารถแบ่งระดับความรุนแรงได้ตามการยื่นออกมาจากทวารหนัก
  • ระดับที่ 1: มีเลือดออก แต่ริดสีดวงไม่ยื่นออกมา
  • ระดับที่ 2: ริดสีดวงยื่นออกมาขณะเบ่งถ่าย แต่สามารถหดกลับเข้าไปได้เอง
  • ระดับที่ 3: ริดสีดวงยื่นออกมาขณะเบ่งถ่าย และต้องใช้นิ้วดันกลับเข้าไป
  • ระดับที่ 4: ริดสีดวงยื่นออกมาอยู่ภายนอกตลอดเวลา ไม่สามารถดันกลับเข้าไปได้ และมักมีอาการเจ็บปวด

สรุปง่ายๆ ก็คือ ริดสีดวงทวารคือภาวะที่หลอดเลือดดำบริเวณทวารหนักโป่งพอง ทำให้เกิดอาการต่างๆ เช่น เลือดออก เจ็บปวด คัน หรือมีก้อนเนื้อยื่นออกมา ซึ่งอาจเกิดขึ้นได้ทั้งภายนอกและภายในทวารหนัก การทำความเข้าใจว่าริดสีดวงทวารคืออะไร จะช่วยให้ตระหนักถึงความสำคัญของการดูแลสุขภาพและการป้องกัน เพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดภาวะนี้ได้นั่นเอง

ริดสีดวงหลังคลอดสาเหตุที่ทำให้เกิดริดสีดวงในคุณแม่หลังคลอด

ริดสีดวงหลังคลอด …สาเหตุที่ทำให้เกิดริดสีดวงในคุณแม่หลังคลอด

ริดสีดวงหลังคลอด เป็นปัญหาที่พบได้บ่อยในคุณแม่หลังคลอดบุตร ซึ่งมีปัจจัยหลายประการที่ส่งผลให้เกิดภาวะนี้ได้ ดังนี้

1. การขยายตัวของมดลูกและแรงดันในช่องท้อง: ในระหว่างการตั้งครรภ์ มดลูกจะขยายขนาดขึ้นอย่างมากเพื่อรองรับการเจริญเติบโตของทารก น้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้นของหญิงตั้งครรภ์ รวมถึงขนาดของทารกที่ใหญ่ขึ้น จะเพิ่มแรงดันในช่องท้องและกระดูกอุ้งเชิงกราน แรงดันที่เพิ่มขึ้นนี้ส่งผลให้การไหลเวียนเลือดจากบริเวณกระดูกอุ้งเชิงกรานกลับสู่หัวใจทำได้ยากขึ้น ทำให้เลือดคั่งค้างและโป่งพองบริเวณหลอดเลือดดำรอบทวารหนัก จนก่อตัวเป็นริดสีดวงในที่สุด

2. อาการท้องผูก: คุณแม่ที่อยู่ในช่วงใกล้คลอดมักประสบปัญหาท้องผูกได้ง่าย เนื่องจากมดลูกที่ขยายใหญ่ขึ้นจะกดทับบริเวณหน้าท้องและลำไส้ใหญ่ ส่งผลกระทบต่อระบบย่อยอาหารและการเคลื่อนไหวของลำไส้ เมื่อเกิดอาการท้องผูก คุณแม่จะต้องนั่งถ่ายอุจจาระเป็นเวลานานและออกแรงเบ่งมากขึ้น ซึ่งการเบ่งถ่ายที่รุนแรงนี้จะเพิ่มแรงดันให้กับหลอดเลือดดำบริเวณทวารหนัก ทำให้โป่งพองและกลายเป็นริดสีดวงได้

3. การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน: ในขณะตั้งครรภ์ ระดับฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนในร่างกายจะสูงขึ้น ฮอร์โมนนี้มีผลทำให้ผนังหลอดเลือดคลายตัวและอาจบวมพองได้ง่ายขึ้น ซึ่งรวมถึงหลอดเลือดดำบริเวณทวารหนักด้วย ทำให้มีความเสี่ยงต่อการเกิดริดสีดวงเพิ่มขึ้น

4. ขนาดของทารกและการเบ่งคลอด: การคลอดทารกที่มีน้ำหนักมาก (มากกว่า 3.8 กิโลกรัม) และการออกแรงเบ่งอย่างมากในระหว่างการคลอดธรรมชาติ จะเพิ่มแรงดันโดยตรงต่อบริเวณทวารหนักและอุ้งเชิงกราน แรงดันที่สูงนี้สามารถทำให้หลอดเลือดดำบริเวณทวารหนักโป่งพองและเกิดริดสีดวงหลังคลอดได้

5. ระยะเวลาในการคลอดนาน: การใช้เวลาในการคลอดบุตรนานกว่า 12 ชั่วโมง ทำให้ร่างกายส่วนล่าง โดยเฉพาะบริเวณทวารหนักและอุ้งเชิงกราน ได้รับแรงดันอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานาน ซึ่งเป็นการเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดริดสีดวงหลังคลอด

6. การรับประทานอาหารเสริมบางชนิด: อาหารเสริมบางชนิด เช่น อาหารเสริมธาตุเหล็ก อาจทำให้เกิดอาการระคายเคืองกระเพาะอาหารและนำไปสู่อาการท้องผูก ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญในการเกิดริดสีดวง

7. วิธีการคลอด: การคลอดธรรมชาติที่ต้องออกแรงเบ่งบริเวณช่องคลอด รวมถึงการคลอดทางช่องคลอดโดยอาศัยเครื่องมือช่วยคลอด (Instrumental vaginal delivery) เช่น การใช้คีมหรือเครื่องดูดสุญญากาศ อาจเพิ่มแรงดันให้กับหลอดเลือดบริเวณทวารหนักจนโป่งพองและเกิดเป็นริดสีดวงหลังคลอดได้

การทำความเข้าใจถึงสาเหตุเหล่านี้ จะช่วยให้คุณแม่หลังคลอดสามารถตระหนักถึงปัจจัยเสี่ยงและหาวิธีป้องกันหรือรับมือกับภาวะริดสีดวงหลังคลอดได้อย่างเหมาะสมค่ะ

 

ริดสีดวงหลังคลอด อาการที่พบบ่อยในคุณแม่หลังคลอด

คุณแม่หลังคลอดที่ประสบปัญหาริดสีดวง อาจมีอาการแสดงแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล ขึ้นอยู่กับชนิดและความรุนแรงของริดสีดวง โดยอาการที่พบบ่อย ได้แก่

1. มีก้อนเนื้อรอบปากทวารหนัก: คุณแม่อาจคลำเจอก้อนเนื้อนิ่มๆ บริเวณขอบทวารหนัก ซึ่งมักเป็นอาการของ ริดสีดวงทวารภายนอก หรือ ริดสีดวงทวารภายในระดับที่ 3 หรือ 4 ที่ยื่นออกมาภายนอก

2. เจ็บปวดขณะถ่ายอุจจาระ: อาการเจ็บปวดมักเกิดขึ้นเมื่อมีการเบ่งถ่าย หรือเมื่ออุจจาระแข็งและเสียดสีกับริดสีดวงที่กำลังอักเสบ โดยเฉพาะ ริดสีดวงทวารภายนอก ที่มีการอักเสบหรือมีลิ่มเลือดอุดตัน จะทำให้รู้สึกเจ็บปวดมาก

3. เจ็บทวารหนัก และทวารหนักบวม: บริเวณทวารหนักอาจรู้สึกตึง บวม และเจ็บ โดยเฉพาะเมื่อริดสีดวงมีการอักเสบ บวม หรือมีภาวะแทรกซ้อน

4. อาการคันบริเวณทวารหนัก: ความชื้นและเมือกที่อาจออกมาจากริดสีดวง สามารถทำให้เกิดอาการระคายเคืองและคันบริเวณรอบทวารหนักได้

5. มีเลือดปนในอุจจาระ: มักเป็นอาการที่พบได้บ่อย โดยเลือดที่ออกมามักเป็นเลือดสดๆ สีแดง อาจหยดออกมาหลังถ่ายอุจจาระ หรือปนออกมากับอุจจาระ โดยเฉพาะในกรณีของ ริดสีดวงทวารภายใน

6. รู้สึกเหมือนถ่ายอุจจาระไม่สุดทั้งที่เพิ่งถ่ายเสร็จ: ริดสีดวงที่บวมโตอาจทำให้รู้สึกเหมือนมีสิ่งกีดขวางอยู่ในทวารหนัก แม้จะเพิ่งถ่ายอุจจาระเสร็จแล้วก็ตาม

7. มีเมือกติดอยู่ที่กางเกงชั้นในหรือกระดาษชำระที่ใช้เช็ดบริเวณทวารหนัก: ริดสีดวง โดยเฉพาะริดสีดวงภายใน อาจมีการผลิตเมือกออกมา ทำให้รู้สึกเปียกชื้นและมีเมือกติดอยู่ที่บริเวณทวารหนักหรือบนกระดาษชำระ

ซึ่งคุณแม่อาจมีอาการเหล่านี้รุนแรงแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล แนะนำว่าควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยและการรักษาที่เหมาะสม เนื่องจากอาการบางอย่างอาจคล้ายคลึงกับภาวะสุขภาพอื่นๆ ได้

วิธีรักษา ริดสีดวงหลังคลอด

วิธีรักษา ริดสีดวงหลังคลอด แนวทางการดูแลตัวเองเบื้องต้น

สำหรับคุณแม่หลังคลอดที่กำลังเผชิญกับปัญหาริดสีดวง การดูแลตัวเองอย่างเหมาะสมสามารถช่วยบรรเทาอาการและส่งเสริมให้ริดสีดวงดีขึ้นได้ โดยมีแนวทางเบื้องต้นดังนี้

  • บรรเทาอาการปวด

1. รับประทานยาพาราเซตามอล: สามารถช่วยบรรเทาอาการปวดที่ไม่รุนแรงบริเวณทวารหนักได้ คุณแม่ควรรับประทานตามคำแนะนำของแพทย์หรือเภสัชกร

2. ประคบเย็น: การใช้แผ่นเจลเย็นหรือผ้าห่อน้ำแข็งประคบบริเวณทวารหนักวันละ 2-3 ครั้ง ครั้งละประมาณ 20-30 นาที สามารถช่วยลดอาการปวด บวม และอักเสบได้ โดยควรห่อด้วยผ้าบางๆ ก่อนสัมผัสผิวหนังโดยตรงเพื่อป้องกันการระคายเคืองจากความเย็นจัด

1. รับประทานยาระบายที่ออกฤทธิ์ทำให้อุจจาระนิ่ม (Stool softener laxatives): ยาในกลุ่มนี้จะช่วยให้อุจจาระนิ่มขึ้น ทำให้ถ่ายได้ง่ายขึ้นและลดการระคายเคืองบริเวณริดสีดวง อย่างไรก็ตาม ควรปรึกษาคุณหมอหรือเภสัชกรก่อนใช้ยาทุกครั้ง เพื่อให้ได้รับคำแนะนำที่เหมาะสมกับอาการและสภาวะสุขภาพของคุณแม่

2. ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการรับประทานอาหาร: เน้นการรับประทานอาหารที่มีกากใยสูง เช่น ผัก ผลไม้ และธัญพืชเต็มเมล็ด ดื่มน้ำให้เพียงพออย่างน้อย 8-10 แก้วต่อวัน เพื่อช่วยให้อุจจาระนิ่มและขับถ่ายง่ายขึ้น

  • การดูแลสุขอนามัยบริเวณทวารหนัก

1. แช่น้ำอุ่น (Sitz Bath): การแช่น้ำอุ่นในระดับที่ท่วมเฉพาะบริเวณสะโพกและทวารหนัก วันละ 2-3 ครั้ง ครั้งละประมาณ 15 นาที สามารถช่วยให้กล้ามเนื้อหูรูดทวารหนักคลายตัว ลดอาการปวดและบวม รวมถึงช่วยให้ริดสีดวงหดตัวลงได้

2. ทำความสะอาดอย่างอ่อนโยน: หลังถ่ายอุจจาระ ควรทำความสะอาดบริเวณทวารหนักด้วยน้ำเปล่า หรือใช้ทิชชู่เปียกสำหรับเด็กที่ไม่ผสมน้ำหอมและแอลกอฮอล์ หลีกเลี่ยงการใช้กระดาษชำระที่แห้งและแข็งกระด้าง เพราะอาจทำให้เกิดการระคายเคืองมากขึ้น

3. หลีกเลี่ยงการเบ่งถ่าย: พยายามหลีกเลี่ยงการเบ่งถ่ายอุจจาระแรงๆ หรือนั่งถ่ายเป็นเวลานาน หากรู้สึกว่ายังไม่พร้อมถ่าย ควรลุกจากห้องน้ำก่อนแล้วค่อยกลับมาใหม่เมื่อรู้สึกปวดถ่ายจริงๆ

วิธีการเหล่านี้เป็นการดูแลตัวเองเบื้องต้นเพื่อบรรเทาอาการ หากอาการริดสีดวงไม่ดีขึ้น มีเลือดออกมาก หรือมีอาการปวดรุนแรง คุณแม่ควรรีบปรึกษาแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยและการรักษาที่เหมาะสม แพทย์อาจพิจารณาการรักษาอื่นๆ เพิ่มเติม เช่น การใช้ยาเหน็บ ยาทา หรือการรักษาด้วยหัตถการต่างๆ หากจำเป็น

 

การดูแลตนเองเพื่อหลีกเลี่ยง ริดสีดวงหลังคลอด 

แม้ว่า ริดสีดวงหลังคลอด อาจเกิดขึ้นได้จากหลายปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการตั้งครรภ์และการคลอดบุตร แต่คุณแม่ก็สามารถดูแลตัวเองเพื่อลดความเสี่ยงและป้องกันการเกิดภาวะนี้ได้

  • ใส่ใจเรื่องอาหาร

1. รับประทานอาหารที่มีไฟเบอร์สูง: การเพิ่มปริมาณใยอาหารในแต่ละวันเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง ไฟเบอร์จะช่วยให้อุจจาระอ่อนนุ่ม มีปริมาตรมากขึ้น และเคลื่อนตัวผ่านลำไส้ได้ง่ายขึ้น ตัวอย่างอาหารที่มีไฟเบอร์สูง ได้แก่

  • ผักใบเขียว: บรอกโคลี คะน้า กะหล่ำปลี ชะอม ผักบุ้ง ตำลึง
  • ผลไม้: อะโวคาโด ลูกพรุน ฝรั่ง มะละกอ กล้วย ส้ม
  • พืชตระกูลถั่ว: ถั่วลันเตา ถั่วดำ ถั่วเขียว ถั่วแดง
  • ธัญพืชเต็มเมล็ด: ข้าวกล้อง ข้าวโอ๊ต ขนมปังโฮลวีต ซีเรียลโฮลเกรน

2. ดื่มน้ำให้เพียงพอ: น้ำมีความสำคัญต่อระบบขับถ่าย ช่วยให้อุจจาระไม่แข็งกระด้างและขับถ่ายได้สะดวก คุณแม่หลังคลอด โดยเฉพาะผู้ที่ให้นมบุตร ควรดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 8 แก้ว หรือมากกว่านั้น เพื่อชดเชยน้ำที่สูญเสียไปในการผลิตน้ำนมและรักษาสมดุลของร่างกาย

  • ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในชีวิตประจำวัน

1. หลีกเลี่ยงการนั่งหรือยืนนานๆ: การอยู่ในท่าเดิมเป็นเวลานานจะเพิ่มแรงดันให้กับหลอดเลือดบริเวณทวารหนัก พยายามเปลี่ยนอิริยาบถบ่อยๆ หากจำเป็นต้องนั่งให้นาน อาจหาเบาะรองนั่งที่ออกแบบมาสำหรับผู้มีปัญหาริดสีดวง

2. เปลี่ยนท่าให้นม: หากต้องให้นมนานๆ ลองเปลี่ยนท่าเป็นนอนตะแคงเพื่อลดแรงกดทับบริเวณทวารหนัก

3. หลีกเลี่ยงการเบ่งถ่าย: เมื่อรู้สึกปวดอุจจาระ ควรรีบเข้าห้องน้ำทันที และพยายามถ่ายอย่างเป็นธรรมชาติ ไม่เบ่งแรงๆ หรือนั่งแช่อยู่นาน

4. ดูแลน้ำหนักตัว: ควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม เพื่อลดแรงกดทับในช่องท้องและอุ้งเชิงกราน

  • ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ

1. ขยับร่างกายเท่าที่ทำได้: การออกกำลังกายเบาๆ หรือการเคลื่อนไหวร่างกายจะช่วยกระตุ้นการทำงานของลำไส้ ลดความเสี่ยงของอาการท้องผูก ตัวอย่างการออกกำลังกายที่เหมาะสม เช่น การเดินเล่นในระยะทางสั้นๆ การว่ายน้ำ หรือโยคะสำหรับคุณแม่หลังคลอด ควรปรึกษาแพทย์ก่อนเริ่มออกกำลังกายหลังคลอด

  • ดูแลสุขอนามัยบริเวณทวารหนัก

1. ทำความสะอาดอย่างอ่อนโยน: หลังถ่ายอุจจาระ ควรทำความสะอาดด้วยน้ำเปล่า หรือทิชชู่เปียกที่ไม่ผสมน้ำหอมและแอลกอฮอล์ หลีกเลี่ยงการใช้สบู่ที่มีสารเคมีรุนแรง

2. ซับให้แห้ง: หลังจากทำความสะอาด ควรซับบริเวณทวารหนักให้แห้งสนิทด้วยผ้าเนื้อนุ่ม

 

การปฏิบัติตามแนวทางการดูแลตัวเองเหล่านี้อย่างสม่ำเสมอ จะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดริดสีดวงหลังคลอด และส่งเสริมสุขภาพที่ดีของคุณแม่ในระยะยาว ดังนั้น คุณแม่ควรให้ความสำคัญกับการดูแลตัวเองอย่างต่อเนื่อง ที่สำคัญ หากคุณแม่สังเกตพบความผิดปกติต่างๆ หลังคลอด ควรรีบพบแพทย์ทันที ไม่ควรปล่อยอาการไว้

 

 

 

 

อ้างอิง

  1. โรคริดสีดวงทวาร (Hemorrhoids), โรงพยาบาล MedPark https://www.medparkhospital.com/disease-and-treatment/hemorrhoids
  2. ริดสีดวงทวาร อาการที่บ่งบอกว่าเป็น !, คณะแพทยศาสาตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล https://www.rama.mahidol.ac.th/ramachannel/article/ริดสีดวงทวาร-อาการที่บ่/
  3. อาการผิดปกติหลังคลอด…ปัญหาที่คุณแม่ควรรู้, โรงพยาบาลพญาไท https://www.phyathai.com/th/article/2042-อาการผิดปกติหลังคลอด___ป?
  4. ริดสีดวง หลังคลอด สาเหตุ อาการ วิธีรักษา, helloคุณหมอ https://hellokhunmor.com/การตั้งครรภ์/สุขภาพคุณแม่/ริดสีดวง-หลังคลอด-สาเหตุ-อาการ-วิธีรักษา/
  5. มารู้จักกับริดสีดวงทวาร, โรงพยาบาลบางปะกอก 3 https://www.bangpakok3.com/care_blog/view/164

มีข้อสงสัยเรื่องการตั้งครรภ์ หรือมีคำถามเรื่องการเลี้ยงลูกหรือเปล่าคะ? ติดตามอ่านบทความ หรือสอบถามสิ่งที่คุณอยากรู้ผ่านแอปของเราได้เลย ดาวน์โหลด theAsianparent แอปพลิเคชัน ทั้ง IOS และ Android ได้แล้ววันนี้!