ทารกตัวโต เป็นภาวะที่ควรให้ความสำคัญอย่างยิ่ง ทารกในครรภ์ตัวโต ส่งผลกระทบต่อทั้งสุขภาพของคุณแม่และลูกน้อยอย่างไร มาทำความเข้าใจเกี่ยวกับภาวะทารกตัวโต เพื่อที่คุณแม่จะได้เตรียมตัวรับมือและดูแลสุขภาพได้อย่างเหมาะสม
ทารกตัวโต คืออะไร?
ตามเกณฑ์ทางการแพทย์ ภาวะทารกตัวโต (Macrosomia) หมายถึงทารกที่มีน้ำหนักตัวมากกว่าเปอร์เซ็นต์ไทล์ที่ 90 ของแต่ละช่วงอายุครรภ์ หรือมีน้ำหนักตัวแรกเกิดมากกว่าหรือเท่ากับ 4,000 กรัม ซึ่งโดยปกติแล้ว น้ำหนักตัวของทารกจะเพิ่มขึ้นตามอายุครรภ์ที่มากขึ้น หากทารกมีน้ำหนักตัวมากกว่าเกณฑ์ที่กำหนด ก็จะถือว่าเป็นทารกตัวโต
ภาวะทารกตัวโตพบได้บ่อยขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะปัจจัยเสี่ยงต่างๆ เช่น โรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์ หรือการรับประทานอาหารมากเกินไป ล้วนมีส่วนทำให้เกิดภาวะนี้ได้ ดังนั้น การเฝ้าระวังและดูแลสุขภาพของคุณแม่ตั้งครภ์อย่างใกล้ชิดจึงเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อป้องกันและลดความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะแทรกซ้อนต่างๆ
เราจะมาเจาะลึกถึงสาเหตุของภาวะทารกตัวโต ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น วิธีการวินิจฉัย และแนวทางการป้องกันและรักษา เพื่อให้คุณแม่ตั้งครรภ์ได้มีความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องและสามารถดูแลสุขภาพของตนเองและลูกน้อยได้อย่างเหมาะสม
ทารกตัวโต เกิดจาก
ภาวะทารกตัวโตมีสาเหตุที่หลากหลาย ทั้งปัจจัยทางพันธุกรรม ปัจจัยจากมารดา และปัจจัยอื่น ๆ ดังนี้
1. ปัจจัยทางพันธุกรรม
- กรรมพันธุ์จากพ่อแม่ หากพ่อแม่มีรูปร่างสูงใหญ่ หรือมีประวัติครอบครัวมีคนตัวใหญ่ ก็มีโอกาสที่ลูกจะมีขนาดตัวใหญ่ตามไปด้วย เนื่องจากขนาดตัวเป็นลักษณะหนึ่งที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรม
- เชื้อชาติ บางเชื้อชาติอาจมีแนวโน้มที่จะมีลูกตัวใหญ่กว่าเชื้อชาติอื่น ๆ
2. ปัจจัยจากตัวคุณแม่
- โรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์ เมื่อระดับน้ำตาลในเลือดของคุณแม่ตั้งครรภ์สูงขึ้น น้ำตาลส่วนเกินจะถูกส่งผ่านไปยังทารก ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดของทารกสูงตามไปด้วย ตับอ่อนของทารกจะตอบสนองต่อภาวะน้ำตาลสูงโดยการสร้างอินซูลินออกมา ซึ่งอินซูลินจะกระตุ้นให้ร่างกายของทารกนำน้ำตาลไปใช้และเปลี่ยนเป็นไขมันสะสม ทำให้ทารกมีขนาดตัวใหญ่ขึ้น ทารกที่เกิดจากแม่ที่มีโรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์มักมีขนาดตัวใหญ่ ไหล่กว้าง หัวโต และมีไขมันสะสมมาก
- การตั้งครรภ์หลายครั้งติดต่อกัน อาจทำให้มดลูกมีขนาดใหญ่ขึ้น และมีการพัฒนาของรกที่ดีขึ้น ซึ่งอาจส่งผลให้ทารกได้รับสารอาหารมากขึ้นและมีขนาดตัวใหญ่ขึ้น
- อายุของคุณแม่ คุณแม่ตั้งครรภ์ที่มีอายุมากกว่า 35 ปีขึ้นไป มีแนวโน้มที่จะมีลูกตัวใหญ่ เนื่องจากระดับฮอร์โมนอินซูลินในการตั้งครรภ์อาจเปลี่ยนแปลงไป
3. ปัจจัยอื่น ๆ
- การรับประทานอาหารมากเกินไป การรับประทานอาหารที่มีแคลอรี่สูงและปริมาณมากเกินไป อาจทำให้ทารกได้รับสารอาหารมากเกินความจำเป็น และเติบโตเร็วกว่าปกติ
- การได้รับสารอาหารบางชนิดมากเกินไป เช่น น้ำตาล หรือโปรตีนในปริมาณที่มากเกินไป อาจส่งผลให้ทารกมีขนาดตัวใหญ่ขึ้น
- ปัจจัยอื่น ๆ เช่น การใช้ยาบางชนิด การสูบบุหรี่ การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ หรือภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ ระหว่างการตั้งครรภ์
ผลกระทบของภาวะทารกตัวโต
ภาวะทารกตัวโตส่งผลกระทบต่อทั้งคุณแม่และลูกน้อยได้หลากหลาย ดังนี้
1. ผลกระทบต่อคุณแม่
- ความเสี่ยงในการคลอดไม่ราบรื่น ทารกตัวใหญ่ อาจทำให้ช่องคลอดของคุณแม่ขยายตัวไม่เพียงพอ ทำให้คลอดยาก หรือเกิดภาวะแทรกซ้อนระหว่างคลอด เช่น
- คลอดเองไม่ได้ มดลูกบีบตัวไม่แข็งแรงพอที่จะดันทารกออกมาได้
- ไหล่ติด ไหล่ของทารกติดอยู่ที่กระดูกเชิงกรานของคุณแม่
- ความเสี่ยงต่อการผ่าคลอด เนื่องจากการคลอดทางช่องคลอดอาจมีความเสี่ยงสูง แพทย์อาจแนะนำให้ผ่าคลอดเพื่อความปลอดภัยของทั้งแม่และลูก
- ทารกตัวโต ภาวะแทรกซ้อนหลังคลอด เช่น
- การเสียเลือดมาก การคลอดทารกตัวใหญ่ อาจทำให้มดลูกหดตัวไม่ดี และเกิดการเสียเลือดมากขึ้น
- การฉีกขาดของอวัยวะเพศ ช่องคลอด หรือทวารหนัก อาจฉีกขาดได้ เนื่องจากทารกมีขนาดใหญ่
- การติดเชื้อ แผลผ่าตัดหรือรอยฉีกขาด อาจติดเชื้อได้
2. ผลกระทบต่อทารก
- การบาดเจ็บขณะคลอด ทารกตัวใหญ่ อาจได้รับบาดเจ็บขณะคลอด เช่น
- กระดูกหัก กระดูกไหปลาร้า หรือกระดูกคอ อาจหักได้
- เส้นประสาทถูกกดทับ อาจทำให้เกิดปัญหาเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวหรือความรู้สึก
- ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ หลังคลอด ทารกอาจมีระดับน้ำตาลในเลือดต่ำ เนื่องจากตับอ่อนของทารกยังทำงานไม่เต็มที่ในการผลิตอินซูลิน
- ภาวะขาดออกซิเจน ระหว่างการคลอด ทารกอาจขาดออกซิเจนชั่วคราว ซึ่งอาจส่งผลต่อสมองและอวัยวะอื่น ๆ
- ภาวะตัวเหลือง ทารกอาจมีภาวะตัวเหลือง เนื่องจากตับยังทำงานไม่สมบูรณ์ในการกำจัดสารบิลิรูบิน
- ทารกตัวโต ภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ เช่น ภาวะไขมันในเลือดสูง ภาวะน้ำในปอด
แพทย์วินิจฉัยภาวะทารกตัวโตได้อย่างไร?
แพทย์สามารถวินิจฉัยภาวะทารกตัวโตได้หลายวิธี โดยวิธีที่พบได้บ่อยที่สุดคือการตรวจอัลตร้าซาวด์ แต่ก็มีการตรวจอื่นๆ ที่ช่วยยืนยันการวินิจฉัยได้เช่นกัน
1. การตรวจอัลตร้าซาวด์
การใช้คลื่นเสียงความถี่สูงสร้างภาพของทารกในครรภ์ แพทย์สามารถวัดขนาดของทารก เช่น ความยาวของกระดูกต้นขา น้ำหนักที่คาดการณ์ได้ และปริมาณของน้ำคร่ำ วิธีนี้ช่วยให้แพทย์ประเมินการเจริญเติบโตของทารกได้อย่างแม่นยำ และคาดการณ์น้ำหนักแรกเกิดโดยประมาณ
2. การตรวจอื่นๆ
- การตรวจระดับน้ำตาลในเลือด เนื่องจากโรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ทารกตัวโต แพทย์จึงอาจตรวจระดับน้ำตาลในเลือดของมารดาเพื่อยืนยันการวินิจฉัยโรคเบาหวาน โดยการตรวจน้ำตาลในเลือดหลังทานอาหาร หรือการทดสอบความทนทานต่อกลูโคส
- การตรวจอื่นๆ เช่น
- การตรวจวัดขนาดของท้อง แพทย์จะวัดขนาดของท้องเพื่อเปรียบเทียบกับอายุครรภ์
- การตรวจฟังเสียงหัวใจของทารก เพื่อประเมินสุขภาพของทารก
- การตรวจอื่นๆ เพิ่มเติม เช่น การตรวจเลือด หรือการตรวจปัสสาวะ เพื่อหาสาเหตุอื่นๆ ที่อาจทำให้ทารกตัวโต
การป้องกันและการรักษา ทารกตัวโต
แม้ว่าเราจะไม่สามารถป้องกัน ทารกตัวโต ได้ทั้งหมด แต่การดูแลสุขภาพอย่างใกล้ชิดและการปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ สามารถช่วยลดความเสี่ยงและผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นได้
1. การควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด
สำหรับคุณแม่ที่มีโรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์ การควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้คงที่เป็นสิ่งสำคัญที่สุด เนื่องจากระดับน้ำตาลในเลือดที่สูงจะส่งผลให้ทารกได้รับน้ำตาลมากเกินไป และเติบโตเร็วกว่าปกติ
ทำได้โดยการตรวจวัดระดับน้ำตาลในเลือดเป็นประจำตามที่แพทย์แนะนำ ร่วมกับการควบคุมอาหาร รับประทานอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน โปรตีน และใยอาหารสูง หลีกเลี่ยงอาหารที่มีน้ำตาลสูง นอกจากนี้แพทย์อาจสั่งยาเพื่อควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด หรือในบางกรณี อาจจำเป็นต้องฉีดอินซูลินเพื่อควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด
2. การควบคุมอาหาร
การรับประทานอาหารที่ถูกต้องและสมดุล มีส่วนสำคัญในการควบคุมน้ำหนักตัวของคุณแม่และป้องกันภาวะทารกตัวโต
ทำได้โดยรับประทานอาหารหลากหลาย เพื่อให้ร่างกายได้รับสารอาหารครบถ้วน ควบคุมปริมาณอาหารในปริมาณที่พอเหมาะ ไม่มากหรือน้อยเกินไป เลือกอาหารที่มีประโยชน์ เน้นอาหารที่มีใยอาหารสูง โปรตีน และวิตามิน หลีกเลี่ยงอาหารแปรรูป เพราะอาหารแปรรูปมักมีน้ำตาลและโซเดียมสูง รวมถึงปรึกษาโภชนากร เพื่อวางแผนอาหารที่เหมาะสมกับสภาวะการตั้งครรภ์
3. การออกกำลังกาย
การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ช่วยควบคุมน้ำหนักตัว ลดความเสี่ยงต่อโรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์ และช่วยให้การคลอดง่ายขึ้น ตัวอย่างการออกกำลังกายง่ายๆ เช่น การเดิน เป็นการออกกำลังกายที่ง่ายและปลอดภัยที่สุดสำหรับคนท้อง การว่ายน้ำ ช่วยลดแรงกดทับที่กระดูกสันหลัง โยคะ ช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นและความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ
อย่างไรก็ตาม ควรปรึกษาแพทย์ก่อนเริ่มออกกำลังกาย และเลือกชนิดและความหนักเบาของการออกกำลังกายที่เหมาะสม
4. การติดตามอาการอย่างใกล้ชิด
การไปพบแพทย์ตามนัดหมายเป็นประจำ ช่วยให้แพทย์สามารถติดตามการเจริญเติบโตของทารก และตรวจพบภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นได้ตั้งแต่เนิ่นๆ นอกจากนี้คุณแม่สามารถติดตามอาการได้โดย ตรวจนับจำนวนครั้งที่ลูกดิ้น เพื่อติดตามความเคลื่อนไหวของทารก ตรวจวัดความดันโลหิต เพื่อตรวจสอบภาวะความดันโลหิตสูง ตรวจปัสสาวะ เพื่อตรวจหาโปรตีนในปัสสาวะ ซึ่งอาจบ่งบอกถึงภาวะครรภ์เป็นพิษ
ทารกตัวโต คลอดเองได้ไหม
โดยทั่วไปแล้ว ทารกตัวโตอาจมีโอกาสคลอดเองได้ แต่ก็มีความเสี่ยงที่อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนระหว่างคลอดสูงขึ้น ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับปัจจัยของคุณแม่แต่ละคน โดยปัจจัยที่ส่งผลต่อการตัดสินใจว่าจะคลอดเองหรือผ่าคลอด ได้แก่
- ขนาดของทารก ทารกที่มีตัวใหญ่มาก อาจมีความเสี่ยงสูงในการคลอดเอง
- ตำแหน่งของทารก ถ้าทารกอยู่ในท่าที่ผิดปกติ เช่น ท่ายกศีรษะ อาจทำให้การคลอดยากขึ้น
- ขนาดของช่องคลอด หากช่องคลอดของคุณแม่มีขนาดเล็ก อาจไม่สามารถรองรับขนาดของทารกได้
- สภาพร่างกายของคุณแม่ หากคุณแม่มีโรคประจำตัว หรือมีภาวะแทรกซ้อนระหว่างตั้งครรภ์ อาจจำเป็นต้องผ่าคลอด
- ประสบการณ์ของแพทย์ แพทย์ผู้ทำคลอดจะมีส่วนสำคัญในการตัดสินใจว่าจะใช้วิธีการคลอดแบบใด
สิ่งสำคัญที่สุดคือ ความปลอดภัยของทั้งคุณแม่และลูกน้อย หากการคลอดเองมีความเสี่ยงสูง แพทย์อาจแนะนำให้ผ่าคลอด เพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดภาวะแทรกซ้อน
ภาวะทารกตัวโตไม่ใช่เรื่องที่ต้องตกใจเสมอไป แต่ควรได้รับการดูแลจากแพทย์อย่างใกล้ชิด ดังนั้น การตรวจสุขภาพระหว่างตั้งครรภ์เป็นสิ่งจำเป็น เพื่อติดตามการเจริญเติบโตของทารกและเตรียมพร้อมรับมือกับภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นค่ะ
ที่มา : คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ , haamor , hellokhunmor
บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ
ปากมดลูกไม่เปิด เร่งคลอดได้ไหม? วิธีกระตุ้นปากมดลูกให้เปิดเร็วขึ้น
ท่าทารกในครรภ์ ท่าไหนคลอดยาก แม่ท้องรู้ไหมท่าไหนต้องผ่าคลอด?
5 สาเหตุที่ทำให้คนท้องคลอดยาก คลอดนาน ทรมานกว่าปกติ