ลูกเชื่อฟังครูมากกว่าพ่อแม่ เชื่อว่าปัญหานี้พ่อแม่ในวัยเด็กเล็กคงจะพบบ่อย ยิ่งในวัยเด็กเพิ่งเข้าเรียน จะพบว่าลูกๆ จะเชื่อคุณครูมากเป็นพิเศษ แตกต่างจากเวลาพวกเขาอยู่บ้าน พ่อแม่สังเกตได้ว่าลูกๆ จะไม่ค่อยเชื่อฟังตนเองมากนัก บางครั้งมีต่อต้าน และมักจะพูดถึงครูบ่อยๆ ปัญหาเรื่องลูกเชื่อครูหรือคนอื่นมากกว่านี้ มีสาเหตุมาจาก เมื่อเด็กต้องไปโรงเรียนที่ไม่ใช่สถานที่ของตนเอง ย้อมต้องการการพึ่งพิงทางจิตใจและมักจะเห็นครูเป็นฮีโร่จึงเชื่อฟังมากกว่า ลองมาดูสาเหตุหลักและการแก้ปัญหาว่าจะทำอย่างไรให้ลูกกลับมาเชื่อพ่อแม่กันดีกว่าค่ะ ทำยังไงเมื่อต้องเจอเหตุการณ์ ลูกเชื่อฟังครูมากกว่าพ่อแม่
ทำไมลูกเชื่อฟังครูเวลาไปอยู่โรงเรียน แต่อยู่บ้านกลับไม่เชื่อพ่อแม่
ปัญหาการเชื่อฟังครูมากกว่าพ่อแม่นี้มักจะเกิดขึ้นเมื่อลูกเข้าสู่วัยเรียน สังเกตว่า วันที่ลูกเข้าโรงเรียนวันแรกเด็กมักจะเชื่อฟังครู เพราะครูคือคนที่มีอิทธิพลต่อเด็กมากที่สุด พ่อแม่มักจะได้ยินคุณครูแนะนำว่า คุณแม่ไม่ต้องห่วงถ้าหากลูกร้องไห้ ให้เดินกลับไป อย่าสนใจ ดังนั้น เด็กจึงต้อการการพึ่งพาทางจิตใจ
ลูกเชื่อฟังครู เพราะครูคือผู้มีอิทธิพลทางด้านจิตใจ ซึ่ง “ดร.เนตรปรียา มุสิกไชย ชุมไชโย” เคยกล่าวว่า
- สาเหตุที่ลูกเชื่อฟังครู เพราะเด็กเชื่อคนที่มีอำนาจเหนือกว่า พ่อแม่อาจเข้าใจว่าการมีอำนาจเหนือลูก คือการดุเขา ซึ่งไม่ใช่ คนที่มีอำนาจเหนือกว่าก็คือคนที่สามารถเข้าไปนั่งกลางใจเด็ก คุณพ่อคุณแม่ฟังแล้วอาจน้อยใจ โดยปกติแล้วคุณพ่อคุณแม่ส่วนใหญ่มักจะใจร้อน อยากได้อะไรต้องได้เดี๋ยวนั้น
- เมื่ออยู่ที่โรงเรียนคุณครูจะค่อยๆ พูดค่อยๆ กล่อม เด็กจะมีความรู้สึกว่าคุณครูไม่ดุ จึงเชื่อฟังครูถึงแม้คุณครูจะดุแต่ว่าสภาพแวดล้อมแตกต่างกัน เด็กเห็นว่าเพื่อนๆ ทำตัวอย่างไรก็จะทำเหมือนเพื่อน สามารถเข้าใจและรับทราบกฎระเบียบไปโดยปริยาย
- การที่ลูกเชื่อฟังครู เพราะครูมีความสม่ำเสมอในการปฏิบัติต่อเขา ต่างจากที่บ้าน บางวันคุณพ่อคุณแม่เป็นนางฟ้าหรือเทวดาของลูก บางวันแปลงร่างเป็นปีศาจ อาจมีการดุ การตีบ้าง ความไม่สม่ำเสมอของพ่อแม่ทำให้เด็กสับสนในบทบาทของพ่อแม่ ซึ่งแน่นอนว่า พ่อแม่เห็นว่าเป็นลูกของตนเองจึงไม่ทันระวังมากนัก ผิดกับครูที่เด็กเชื่อฟังครู เนื่องจากครูเป็นคนอื่นย่อมมีความเกรงใจ เกรงกลัวซึ่งกันและกัน
- บ่อยครั้งที่ลูกทดลองว่า ตนเองมีความสามารถหรืออำนาจเหนือพ่อแม่ได้ไหม ถ้าบังเอิญทดลองแล้วได้ผล เช่น ลงไปดิ้นร้องไห้แล้วได้ผลพ่อแม่มะรุมมะตุ้มเอาใจตัวเอง นั่นเพราะว่าเด็กอธิบายให้พ่อแม่เข้าใจไม่ได้ว่าตอนนี้ยังไม่อยากกินข้าว ยังไม่อยากทำสิ่งที่พ่อแม่สั่งแต่อธิบายออกไปไม่เป็น
- พ่อแม่ต้องสอนลูกเรื่องการสื่อสาร ที่โรงเรียนคุณครูจะค่อยๆ พูดจึงช่วยปรับอารมณ์เด็กได้ดีกว่าพ่อแม่ที่ใช้การออกคำสั่งเป็นส่วนใหญ่ ยิ่งเด็กเล็กๆ เด็กยิ่งเชื่อฟังครู เพราะครูมักปฏิบัติต่อพวกเขาคือเทวดานางฟัง สอนการอยู่ร่วมกับเพื่อน ทำกิจกรรมเด็กเล็ก สอนอ่านเขียนเบื้องต้น ซึ่งคนละแนวทางกับเด็กโตที่ถูกปลูกฝังให้เชื่อครูในเรื่องของบทเรียน
บทความที่เกี่ยวข้อง : โรงเรียนอนุบาลในฝัน
สอนลูกอย่างไรให้เชื่อฟังพ่อแม่โดยไม่ต่อต้าน
ก่อนอื่นพ่อแม่ไม่ควรบอกลูกว่าการเชื่อฟังครูนั้นเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องหรือห้ามพวกเขา ลองกลับมาเปลี่ยนที่ตนเอง เพราะยิ่งลูกโตขึ้น ความคาดหวังให้พวกเขาเป็นเด็กเชื่อฟัง ว่านอนสอนง่าย ยิ่งกลายเป็นเรื่องยาก ฉะนั้นก่อนที่ลูกเริ่มมีความคิดและความต้องการเป็นของตัวเอง เริ่มต่อต้านพ่อแม่ สนใจสิ่งที่อยู่ตรงหน้ามากกว่า หรือบางครั้งลูกก็ไม่อยากคุย ไม่อยากทำในสิ่งที่พ่อแม่ต้องการ เพิกเฉยต่อคำพูดของพ่อแม่ ลองนำเทคนิคการสอนลูกโดยไม่เกิดความกระทบกระทั่งในครอบครัวดูค่ะ
- สอนให้ลูกเชื่อฟังทางอ้อม โดยทำตัวเป็นแบบอย่าง
ส่วนใหญ่อย่างที่กล่าวไปข้างต้น เด็กเด็กวัย 3-6 ขวบ มักจะเชื่อฟังครู ในขณะเดียวกันพวกเขาก็อยู่ในวัยลอกเลียนแบบพฤติกรรมของคนใกล้ชิดโดยไม่สามารถแยกแยะได้ ควรหรือไม่ควรเลียนแบบพฤติกรรมอะไร ทำให้หลายครั้ง เด็กๆ เผลอลอกเลียนพฤติกรรมไม่ดีของผู้ใหญ่ เมื่อถูกตำหนิและต่อว่า ลูกจึงไม่เข้าใจว่า “ทำไมคุณพ่อคุณแม่ยังทำได้เลย” การทำให้ลูกเกิดความสงสัยโดยไม่ได้รับการอธิบายบ่อยครั้ง เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ลูกเริ่มไม่อยากที่จะเชื่อฟังพ่อแม่อีกต่อไป ดังนั้นสิ่งที่พ่อแม่ควรทำคือ คุณพ่อคุณแม่ต้องเป็นตัวอย่างให้ลูกเห็นมากกว่าการออกคำสั่งว่าลูกควรทำอะไร หรือห้ามว่าไม่ควรทำอะไร เพราะพวกเขาจะจดจำการกระทำมากกว่าการฟัง
- สังเกตได้ว่าลูกเชื่อฟังครู เพราะครูพูดจาไพเราะ พ่อแม่เองก็ควรทำเช่นนั้น
หากลูกเผลอทำผิด หรือไม่เชื่อฟังทำตามสิ่งที่พ่อแม่บอก คุณอาจจะอดไม่ได้ที่จะตะคอกพวกเขาด้วยคำพูดแรงๆ และไม่สนใจฟังในสิ่งที่ลูกอยากอธิบาย การขึ้นเสียงหรือตะคอกอาจทำให้ลูกสงบลงได้ก็จริง แต่ในอนาคตลูกก็จะทำผิดซ้ำอีกอยู่ดี พ่อแม่ควรทำให้ลูกเชื่อฟังโดย เริ่มจากดึงความสนใจของลูกด้วยการเรียกชื่อลูก โดยใช้คำพูดง่ายๆ เพื่อให้ลูกทบทวนในสิ่งที่ทำผิด และใช้น้ำเสียงที่หนักแน่นแต่ไม่ดุดัน เช่น ถ้าลูกกำลังกินขนมอยู่และมีเศษขนมตกพื้น แทนที่พ่อแม่จะดุที่ลูกทำขนมหกหล่นลงพื้น ลองเปลี่ยนเป็นบอกทางป้องกันและแก้ปัญหา เช่น “ขนมที่หกลงพื้นแล้ว ลูกต้องเก็บไปทิ้งลงในถังขยะให้เรียบร้อยนะคะ” และคุณแม่คิดว่าอาจสอนให้ลูกนำจานมาใส่ขนม เพื่อขนมจะได้ไม่หกลงพื้นต่อไป นอกจากคำพูดกับน้ำเสียงแล้ว ภาษากายก็มีส่วนสำคัญในการช่วยให้ลูกรับฟังมากขึ้น พ่อแม่ควรย่อตัวให้สูงเท่าลูก มองลูกด้วยสายต่าอ่อนโยนและตั้งใจฟังสิ่งที่พวกเขาพูด
- สอนให้ลูกเชื่อฟังด้วยการมีข้อตกลงร่วมกัน
แม้แต่ตัวผู้ใหญ่เองก็ไม่ต้องการให้ใครมาบังคับ เด็กเองก็เช่นกัน เด็กทุกคนมีสิ่งที่ชอบและไม่ชอบของตัวเอง บ่อยครั้งที่คุณพ่อคุณแม่ให้ลูกทำสิ่งที่ไม่ชอบนานจนลูกต่อต้าน การที่จะทำให้พวกเขาเชื่อฟังได้ต้องเข้าใจก่อนว่า เด็กวัย 2-3 ขวบ เป็นวัยแห่งการต่อต้าน การให้ข้อเสนอเพื่อเป็นข้อตกลงร่วมกัน ควรลดการโต้เถียงหรือการชวนทะเลาะลง เช่น “ถ้าลูกช่วยแม่รดน้ำต้นไม้ แม่จะให้ลูกระบายสีหนังสือนิทานเล่มใหม่” หรือให้ทางเลือกอื่นที่ไม่ใช่การลงโทษ เช่น “ถ้าลูกไม่อาบน้ำ แม่จะไม่ให้เลี้ยงแมว”
- สอนให้ลูกใช้ความคิดแก้ปัญหาด้วยตัวเอง
ไม่ควรใช้ประโยคคำสั่งแข็งกระกร้าว เช่น อย่า! ไม่! ห้าม! จนทำให้ลูกรู้สึกว่าตัวเอง ทำอะไรก็ไม่ดี โดนห้ามตลอด ส่งผลต่อให้ลูกขาดความเชื่อมั่นในตัวเอง กลายเป็นคนไม่มั่นใจ กลัวการทำผิด และไม่กล้าที่จะคิดริเริ่มอะไรใหม่ๆ การที่พ่อแม่จะให้ลูกเชื่อฟังควรฝึกให้ลูกใช้ความคิดและแก้ปัญหาด้วยตัวเอง ยกตัวอย่างเช่น “ไปเก็บของเล่นสิลูก” เป็น “ลูกคิดว่าเจ้าตุ๊กตาโรบอทตัวนี้ไปเก็บไว้ไหน ลูกมีบ้านไว้เก็บน้องหรือเปล่า” นอกจากนี้ควรหากิจกรรมสนุกๆ ทำร่วมกันกับลูก เมื่อคุณพ่อคุณแม่เห็นลูกทำไม่ถูกต้อง จะได้สอนลูกให้คิดแก้ปัญหา และสอดแทรกเรื่องของคุณธรรม จริยธรรมเข้าไปได้ด้วย
- พ่อแม่ต้องเชื่อสิ่งที่ลูกต้องการจะบอกบ้าง
ผู้ใหญ่ไม่ได้ทำถูกเสมอไป บางครั้งสิ่งที่พ่อแม่คิดก็ไม่ได้ถูกต้องเสมอไป เพราะเด็กแต่ละคนมีความคิดเป็นของตัวเองพ่อแม่ควรถามให้รู้ว่าลูกคิดอะไร ทำไปเพราะอะไร ถามเหตุผลพวกเขาและตั้งใจฟังสิ่งที่ลูกพูดเพื่อช่วยให้ลูกผ่อนคลายความกังวล และค่อยๆ เปลี่ยนความคิดของลูกให้ถูกต้อง และลูกก็จะเปิดใจเชื่อฟังคุณในทุกๆ เรื่อง
- อยากให้ลูกเชื่อฟังก็อย่าเพิกเฉยต่อความต้องการของลูก
ต้องทราบก่อนว่า เด็กวัย 2-3 ขวบ ยังไม่สามารถฟังและทำตามคำสั่งหลายอย่างในเวลาเดียวกันได้ จนทำให้พ่อแม่ใช้อารมณ์กับลูกหรือแกล้งไม่สนใจพวกเขา ดังนั้นพ่อแม่ต้องคอยจับสังเกตว่าลูกต้องการสื่อสารอะไร อาจใช้วิธีค่อยๆ ถามเรื่อยๆ เพื่อยืนยันในสิ่งที่ลูกทำ รวมถึงเมื่อต้องการให้ลูกทำอะไร พ่อแม่ควรพูดกับลูกให้ชัดเจน สั้น และกระชับใจความ
- สอนลูกใช้เทคนิคที่เข้าใจง่าย
วัยเด็กเล็กอาจยังไม่สามารถฟังประโยคยาวๆ หรือหลายคำสั่งให้เข้าใจพร้อมกันได้ พ่อแม่ควรใช้เทคนิคสอนให้ลูกจำง่ายขึ้น ยกตัวอย่างเช่น ถามลูกว่า “วันนี้ทำอะไรที่โรงเรียนบ้าง” เปลี่ยนเป็น “เล่าให้ฟังหน่อยวันนี้ ทำอะไรสนุกที่สุด” และหลีกเลี่ยงคำว่า “ไม่” หรือ “ห้าม” เพราะทำให้ลูกไม่อยากทำตาม เช่น “ห้ามดื้อนะ” เปลี่ยนเป็น “แม่ชอบลูกตอนที่เชื่อฟังแม่ที่สุดเลยค่ะ” นอกจากนี้พ่อแม่อาจเปลี่ยนมาใช้การให้คะแนนหรือสติ๊กเกอร์ เพื่อให้ลูกมีเป้าหมายในการฟังคุณมากขึ้น
- ค้นหาสาเหตุ
ถ้าลูกเป็นเด็กฟังพ่อแม่มาตลอด แต่บางครั้งที่ไม่เชื่อฟังอาจเป็นเพราะกำลังโกรธ เศร้าเสียใจ ต้องการให้พ่อแม่เอาใจมากขึ้น เช่น เมื่อเขามีน้องเข้ามาเป็นสมาชิกใหม่ในบ้าน หรือถูกกลั่นแกล้งหรือล้อเลียนตอนอยู่ที่โรงเรียนสิ่งที่พ่อแม่ควรให้ความสำคัญคือ พูดคุยและหาคำตอบสาเหตุที่ลูกไม่เชื่อฟัง และบอกรักลูก ให้ลูกเชื่อมั่นว่ามีพ่อแม่อยู่ข้างๆ เสมอ นอกจากนี้ควรสังเกตทัศนคติ วิธีคิด และการพูดของลูก เพื่อที่จะเข้าใจลูกมากขึ้น
บทความที่เกี่ยวข้อง : 6 วิธีเลี้ยงลูกแบบเก่า ที่เราควรนำมาใช้ วิธีเลี้ยงลูกที่มีประโยชน์ ต่อลูกและพ่อแม่
สังคมไทยปลูกฝังให้เด็กนักเรียนเชื่อฟังครู
เราทราบกันดีอยู่ว่าในสังคมไทยจะปลูกฝังให้เด็กนักเรียนคิดว่าการถามครูเป็นเรื่องน่าอาย ดังนั้นเด็กดีต้องเชื่อผู้ใหญ่ เป็นทัศนคติทางการศึกษาที่ฝังแน่นกับเชื่อของเด็กมาเนิ่นนานจนเป็นปัญหาต่อการพัฒนาการศึกษาไทย
ปัจจัยสำคัญที่ทำให้เด็กต้องเชื่อฟังครู
1. เด็กไม่กล้ายกมือเมื่อเกิดคำถาม มองกลับมาที่ตัวเราซึ่งเคยเป็นเด็กเรียนในประเทศไทยที่ถูกสอนมาให้เชื่อฟังครู การยกมือถามครูนั้นคล้ายกับความผิดมหันต์ เช่น ครูจะตั้งคำถามว่า เวลาที่ครูอธิบาย เธอไม่ตั้งใจฟังหรืออย่างไร ความผิดจึงย้อนกลับมาที่ตัวเด็ก โดยพื้นฐานคนเรามักไม่อยากถูกดุและต่อหน้าต่อเพื่อนร่วมชั้นสักเท่าไหร่ เด็กๆ จึงทัศนคติที่ว่าการยกมือถามคือแตกแยก อาย ไม่กล้าถาม ทัศนคติเหล่านี้ส่งผลให้นักเรียนขาดความมั่นใจในตนเอง และส่งผลต่อการศึกษา ตัวอย่างที่เห็นได้ชัด เช่น การเรียนภาษาอังกฤษ ที่ไม่ประสบความสำเร็จ เพราะเด็กไทยไม่กล้าถาม อาย ขาดความมั่นใจ
2. ครูมักจะย้ำว่า เด็กต้องเชื่อฟังครู เมื่อนักเรียนส่วนใหญ่ไม่อาจพิสูจน์สิ่งที่ครูสอนทางวิทยาศาตสร์ได้ ดังนั้น เมื่อเปรียบสิ่งที่ครูสอนเป็นโจทย์เลขว่า 1+1 = 2 เด็กก็ต้องเชื่อครูในทางเดียวเท่านั้น ไม่กล้าถามว่า ครูครับเราสามารถตั้งโจทย์ 1.5+0.5 = 2 ได้ ซึ่งโจทย์นี้เปรียบได้กับการแก้ปัญหาได้ในทุกๆ วิชา ไม่ใช่แค่วิชาคณิตศาตสร์เท่านั้นโดยครูมีทัศนคติที่ว่าเรามีอำนาจสูงสุดในห้องเรียน เป็นอำนาจนิยม
3. เพื่อนร่วมชั้นเรียน อีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เด็กไม่กล้ายกมือถามครู คือเพื่อนร่วมชั้นเรียน เคยสังเกตไหมว่า หากเรายกมือถามครู มักจะถูกมองราวกับเป็นคนประหลาด หรือแม่แต่เพื่อนยกมือถามครู ในห้องเป็นการอวดรู้ โชว์ฉลาด เป็นการรบกวน เราก็มักจะมองเพื่อนด้วยความแปลกใจเช่นกัน ดังนั้น เมื่อไม่มีใครกล้ายก จึงทำให้การเชื่อฟังครูคือสิ่งที่เด็กทุกคนควรทำอยู่เรื่อยมา
จะเห็นได้ว่าวัยเด็กเล็กคือวัยที่ต้องการการปกป้องคุ้มครอง เด็กๆ จึงมักจะเชื่อครูเสียส่วนใหญ่ แต่เมื่อพวกเขาอยู่ในวัยรุ่น มีความคิดเป็นของตนเอง การเชื่อฟังครู ทำให้เด็กบางคนกลายเป็นคนขาดความกล้า ขาดความเชื่อมั่น ไม่กล้าเข้าสังคมก็เป็นได้
บทความที่น่าสนใจ
เมื่อลูกไม่อยากไปโรงเรียนอนุบาล
ที่มา:www.motherandcare.com , Aboutmo