การให้ค่าขนมลูก เป็นวิธีหนึ่งในการสอนให้เด็กรู้จักการใช้เงินอย่างชาญฉลาด พัฒนาทักษะการตัดสินใจ และรับผิดชอบต่อค่าใช้จ่ายของตัวเอง แต่คุณพ่อคุณแม่ควรให้ ค่าขนมลูกวันละกี่บาทดี มาดูคำแนะนำกันค่ะ
ค่าขนมลูกวันละกี่บาทดี ?
เป็นคำถามยอดฮิตของคุณพ่อคุณแม่ เมื่อลูกเริ่มเข้าเรียน ก็จะต้องเริ่มคิดว่า ควรให้ ค่าขนมลูกวันละกี่บาทดี ให้ลูกรู้จักใช้เงิน และรู้จักเก็บออม ทั้งนี้คุณพ่อคุณแม่ควรให้เงินลูกไปโรงเรียน วันละเท่าไหร่? ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ เช่น
- อายุของลูก เด็กเล็กอาจได้รับค่าขนมวันละ 20-30 บาท เด็กโตอาจได้รับ 50-100 บาท หรือมากกว่านั้น ขึ้นอยู่กับความรับผิดชอบและค่าใช้จ่ายของเด็ก
- ค่าครองชีพในพื้นที่ เด็กที่อาศัยอยู่ในเมืองใหญ่ที่มีค่าครองชีพสูง อาจต้องได้รับค่าขนมมากกว่าเด็กที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ชนบท
- กิจกรรมของลูก เด็กที่เล่นกีฬาหรือมีกิจกรรมอื่นๆ ที่ต้องเสียค่าใช้จ่าย อาจต้องได้รับค่าขนมมากกว่าเด็กที่ไม่มีกิจกรรมใดๆ
- รายได้ของครอบครัว ครอบครัวที่มีรายได้น้อย อาจให้ค่าขนมลูกน้อยกว่าครอบครัวที่มีรายได้มาก
- กฎระเบียบของโรงเรียน บางโรงเรียนอาจมีกฎระเบียบเกี่ยวกับจำนวนเงินที่เด็กสามารถนำไปโรงเรียนได้
การให้ค่าขนมลูกควรเริ่มต้นด้วยจำนวนเงินที่น้อยก่อน เมื่อลูกโตขึ้นและมีความรับผิดชอบมากขึ้น คุณพ่อคุณแม่สามารถเพิ่มจำนวนเงินได้ และควรสอนให้ลูกออมเงิน ช่วยให้ลูกรู้จักแบ่งเงินส่วนหนึ่งไว้เป็นเงินออม พูดคุยเรื่องเงินกับลูก อธิบายให้ลูกเข้าใจถึงคุณค่าของเงิน และควรติดตามการใช้จ่ายของลูก โดยสอนให้ลูกจดบันทึกการใช้จ่าย รวมทั้งสอนให้ใช้จ่ายอย่างระมัดระวัง และคุ้มค่า
ตัวอย่างวิธีการให้ค่าขนมลูก
-
ให้เป็นรายวัน
เหมาะสำหรับเด็กเล็ก เพราะเด็กเล็กยังไม่เข้าใจเรื่องอนาคต การให้ค่าขนมเป็นรายวัน ช่วยให้เด็กเห็นภาพเงินที่ชัดเจน คุณพ่อคุณแม่ควรอธิบายให้ลูกเข้าใจว่าเงินมีค่า หาได้มาไม่ง่าย ต้องใช้จ่ายอย่างระมัดระวัง ฝึกให้ลูกเก็บออมเงินไว้ใช้ในวันต่อๆ ไป เด็กจะเรียนรู้ที่จะวางแผนว่าจะใช้เงินอย่างไร แบ่งเงินส่วนหนึ่งไปออม ส่วนหนึ่งไว้ซื้อของที่ต้องการ ฝึกให้รู้จักความรับผิดชอบ สอนให้ลูกเลือกของที่จำเป็นจริงๆ เปรียบเทียบราคา ฝึกให้รู้จักคิดวิเคราะห์ เลือกของที่คุ้มค่า
-
ให้เป็นรายสัปดาห์
เหมาะสำหรับเด็กโต การให้ค่าขนมลูกเป็นรายสัปดาห์ เหมาะสำหรับเด็กที่มีอายุประมาณ 6-11 ขวบ ซึ่งเริ่มมีความรับผิดชอบ เข้าใจเรื่องอนาคตมากขึ้น เป็นการฝึกการวางแผนระยะยาว ลูกจะเรียนรู้ที่จะวางแผนการใช้เงินล่วงหน้า เก็บออมเงินไว้สำหรับค่าใช้จ่ายในอนาคต เช่น ค่าขนมไปโรงเรียน เงินซื้อของเล่น สอนให้ลูกจดบันทึกรายรับรายจ่าย วางแผนการใช้เงินล่วงหน้า ลูกจะเรียนรู้ที่จะบริหารจัดการเงินส่วนตัว แบ่งเงินส่วนหนึ่งไปออม ส่วนหนึ่งไว้ซื้อของที่ต้องการ สามารถฝึกให้ลูกรู้จักความรับผิดชอบ คุณพ่อคุณแม่พาลูกไปธนาคาร เปิดบัญชีออมทรัพย์ให้ลูก สอนให้ลูกฝากเงิน ถอนเงิน และตรวจสอบยอดเงิน เป็นการฝึกให้ลูกรู้จักควบคุมอารมณ์ เรียนรู้ที่จะรอคอย อดทน เก็บออมเงินก่อน ถึงจะซื้อของที่ต้องการ และคุณพ่อคุณแม่อาจจะกระตุ้นให้ลูกแบ่งเงินส่วนหนึ่งไปบริจาค หรือช่วยเหลือผู้อื่นด้วย
-
ให้เป็นรายเดือน
เหมาะสำหรับวัยรุ่น การให้ค่าขนมลูกเป็นรายเดือน เหมาะสำหรับวัยรุ่นที่มีอายุประมาณ 12-18 ขวบ ซึ่งเริ่มมีความเป็นผู้ใหญ่ มีความรับผิดชอบสูงขึ้น ฝึกการวางแผนการเงินระยะยาว วัยรุ่นจะเรียนรู้ที่จะวางแผนการใช้เงินระยะยาว แบ่งเงินส่วนหนึ่งไปออม ส่วนหนึ่งไว้ซื้อของที่จำเป็น จ่ายค่าใช้จ่ายส่วนตัว ฝึกให้ลูกรู้จักบริหารจัดการเงินอย่างมีประสิทธิภาพ ฝึกการตัดสินใจทางการเงิน วัยรุ่นจะเรียนรู้ที่จะตัดสินใจทางการเงินด้วยตัวเอง เลือกซื้อของที่จำเป็น เปรียบเทียบราคา เลือกสินค้าที่คุ้มค่า ฝึกให้เด็กรู้จักคิดวิเคราะห์ ตัดสินใจอย่างรอบคอบ เตรียมความพร้อมสำหรับอนาคต เรียนรู้ที่จะเก็บออมเงินสำหรับค่าใช้จ่ายในอนาคต เช่น ค่าเทอม ค่าใช้จ่ายในมหาวิทยาลัย ค่าเช่าบ้าน กระตุ้นให้ลูกแบ่งเงินส่วนหนึ่งไปออม หรือลงทุน
-
ให้เป็นรางวัล
ให้ค่าขนมพิเศษเมื่อลูกทำสิ่งที่ดี การให้ค่าขนมพิเศษเมื่อลูกทำสิ่งที่ดี เป็นวิธีเสริมแรงจูงใจให้เด็กมีพฤติกรรมที่ดี เหมาะสำหรับเด็กทุกวัย เป็นการส่งเสริมพฤติกรรมที่ดี ช่วยให้ลูกรู้สึกภูมิใจ มีกำลังใจที่จะทำสิ่งที่ดีต่อไป เช่น ช่วยเหลืองานบ้าน ตั้งใจเรียน แบ่งปันผู้อื่น สอนให้ลูกรู้จักคุณค่าของสิ่งต่างๆ เข้าใจว่าการได้อะไรมาต้องแลกมาด้วยความพยายาม ความดีงาม สร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างพ่อแม่กับลูก ทำให้ลูกรู้สึกอบอุ่น ปลอดภัย รู้สึกว่าได้รับการสนับสนุนจากพ่อแม่ การรอคอยรางวัลยังช่วยให้เด็กรู้จักการควบคุมอารมณ์ อดทน ไม่ง้องแง้ง เมื่อไม่ได้สิ่งที่ต้องการอีกด้วย
ตัวอย่างการให้ค่าขนมพิเศษเมื่อลูกทำสิ่งที่ดี
- เมื่อลูกช่วยเหลืองานบ้าน ให้ลูกเลือกของเล่นชิ้นโปรด
- เมื่อลูกตั้งใจเรียน พาลูกไปเที่ยวสวนสนุก
- เมื่อลูกแบ่งปันผู้อื่น ให้ลูกเลือกของขวัญไปมอบให้เพื่อน
- เมื่อลูกทำข้อสอบได้คะแนนดี พาลูกไปทานอาหารอร่อยๆ
อย่างไรก็ตาม มีสิ่งที่คุณพ่อคุณแม่ควรระวังในการให้รางวัล เช่น ไม่ควรให้ค่าขนมพิเศษบ่อยจนเกินไป อาจทำให้เด็กติด กลายเป็นว่าไม่ทำอะไรก็ไม่ได้รางวัล ควรให้รางวัลที่เหมาะสมกับวัย และความพยายามของลูก ไม่ควรให้รางวัลด้วยสิ่งของมีค่ามากเกินไป อาจทำให้เด็กเห็นแก่ตัว ควรให้คำชมเชย และกอดลูก เป็นรางวัลควบคู่ไปกับการให้ค่าขนมพิเศษ
วิธีสอนลูกเรื่องเงิน ตามช่วงวัย
เมื่อลูกได้ค่าขนมไปโรงเรียน คุณพ่อคุณแม่สามารถใช้โอกาสนี้สอนลูกเรื่องเงิน การวางแผนใช้เงินอย่างคุ้มค่า การออมเงิน และลงทุน ให้เหมาะกับช่วงวัย ดังนี้
เด็กวัยก่อนเรียน (อายุ 3-5 ขวบ) ควรสอนลูกเรื่องเงินอย่างไร?
- สอนให้รู้จักคุณค่าของเงิน เริ่มต้นด้วยการให้ลูกช่วยหยอดเหรียญลงกระปุกออม อธิบายให้ลูกเข้าใจว่าเงินมีค่า สามารถนำไปซื้อของได้
- สอนให้แยกแยะระหว่างความต้องการกับความอยากได้ พาลูกไปช้อปปิ้ง สอนให้ลูกเลือกของที่จำเป็นจริงๆ อธิบายว่าของเล่นบางชิ้นอาจไม่จำเป็น
- ให้ลูกมีส่วนร่วมในการตัดสินใจซื้อของ ถามลูกว่าอยากได้อะไร ช่วยลูกเปรียบเทียบราคา สอนให้ลูกเลือกของที่คุ้มค่า
เด็กวัยประถมศึกษา (อายุ 6-11 ขวบ) ควรสอนลูกเรื่องเงินอย่างไร?
- สอนให้ทำบัญชีรายรับรายจ่าย ให้ลูกจดบันทึกรายรับจากค่าขนม และรายจ่ายที่ใช้ไป สอนให้ลูกคำนวณเงินคงเหลือ
- กำหนดเป้าหมายในการออมเงิน ตั้งเป้าหมายร่วมกันว่าจะออมเงินเพื่อซื้ออะไร เช่น ของเล่นชิ้นใหม่ หรือไปเที่ยว
- สอนให้รู้จักการแบ่งปัน กระตุ้นให้ลูกแบ่งเงินส่วนหนึ่งไปบริจาค หรือช่วยเหลือผู้อื่น
- พาลูกไปธนาคาร เปิดบัญชีออมทรัพย์ให้ลูก สอนให้ลูกฝากเงิน ถอนเงิน และตรวจสอบยอดเงิน
เด็กวัยมัธยมศึกษา (อายุ 12-18 ขวบ) ควรสอนลูกเรื่องเงินอย่างไร?
- สอนให้หางานพิเศษทำ กระตุ้นให้ลูกหางานพิเศษทำ เพื่อหารายได้เสริม
- สอนให้รู้จักการลงทุน อธิบายให้ลูกเข้าใจเกี่ยวกับการลงทุน พาไปซื้อกองทุนรวม หรือหุ้น
- สอนให้รู้จักใช้บัตรเครดิต อธิบายวิธีการใช้บัตรเครดิตอย่างถูกต้อง สอนให้ลูกจ่ายหนี้บัตรเครดิตตรงเวลา
- เตรียมความพร้อมสำหรับอนาคต สอนให้ลูกวางแผนการใช้เงินสำหรับค่าเทอม ค่าใช้จ่ายในมหาวิทยาลัย หรือค่าเช่าบ้าน
การให้ค่าขนมลูก เป็นวิธีที่ดีในการสอนให้ลูกรู้จักใช้เงินอย่างชาญฉลาด แต่ต้องระวังอย่าให้ค่าขนมมากเกินไป อาจทำให้ลูกใช้จ่ายฟุ่มเฟือย อย่าใช้ค่าขนมเป็นเครื่องมือในการควบคุมลูก เพราะอาจทำให้ลูกเกิดความรู้สึกกดดัน และอย่าเปรียบเทียบลูกกับเด็กคนอื่น อย่าลืมว่า เด็กแต่ละคนมีความต้องการที่แตกต่างกันค่ะ
แหล่งข้อมูล : pantip , tnews , pantip
บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ
8 ขั้นตอน สอนลูกรู้จักค่าของเงิน
สอนลูกเรื่องเงินอย่างไรดี คำแนะนำสำหรับ การสอนลูกเรื่องเงิน ตามช่วงอายุ
เคล็ดลับ 14 ข้อสอนลูกเรื่องเงินแบบคนที่จะรวย รวย รวย