อย่ามองข้าม! อึติดปลายจู๋ ลูกชายเสี่ยงติดเชื้อกระเพาะปัสสาวะ ไตวายไม่รู้ตัว

ลูกชายติดเชื้อในกระเพาะปัสสาวะ เพราะอึติดปลายจู๋ จนเกือบไตวาย! แชร์ประสบการณ์จริง พร้อมอธิบายสาเหตุ อาการ การรักษา และวิธีป้องกัน UTI ในทารกแบบละเอียด
ในช่วงวัยแรกเกิดถึงขวบปีแรก การดูแลลูกชายตัวเล็กทุกจุดทุกซอก มักไม่ใช่เรื่องง่าย โดยเฉพาะ “น้องชายตัวน้อย” ที่หลายบ้านอาจคิดว่าแค่ล้างน้ำ สะอาดพอแล้ว แต่รู้หรือไม่ว่า “อึติดปลายจู๋” แม้จะดูเป็นเรื่องเล็กน้อย กลับเป็นชนวนสำคัญของ “การติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ” ที่รุนแรงถึงขั้นเสี่ยงไตวาย!
บทความนี้จะพาไปดูเคสจริงของแม่ลูกคู่หนึ่ง ที่เกือบสูญเสียลูกชายวัยเพียง 2 เดือน 11 วัน จากเรื่องที่แม่ไม่เคยคิดว่าจะเกิดขึ้น พร้อมคำแนะนำจากคุณหมอ และวิธีป้องกันอย่างถูกต้องสำหรับแม่ ๆ ที่มีลูกชาย
ลูกชายติดเชื้อกระเพาะปัสสาวะ เพราะ อึติดปลายจู๋
แม่แชร์ประสบการณ์ ใครมีลูกชาย ต้องระวัง อึติดที่ปลายจู๋ ทำให้ติดเชื้อในกระเพาะปัสสาวะ เกือบไตวาย
สวัสดีครับผม อายุ 2 เดือน 11 วัน เริ่มกันเลย น้องเป็นเด็กอารมณ์ดีค่ะ จนมาวันนึง ช่วงเวลาตอนเย็นน้องมีอาการตัวรุม ๆ (เหมือนมีไข้อ่อน ๆ) แต่แม่ก็ยังไม่ได้พาน้องไปหาหมอ เพราะเย็นมากแล้ว กลัวคลีนิคปิดแล้ว อีกอย่างคือแม่คิดว่าน้องคงจะเป็นหวัดธรรมดา เพราะอากาศเปลี่ยน (อากาศเริ่มเย็น)
วันต่อมา ช่วง 16.00 น. แม่พาน้องไปคลินิกค่ะ (ไม่ได้พาไปตอนเช้า เพราะอากาศเย็นตัวร้องรุม ๆ ไม่ร้อน และไม่มีอาการอื่น จึงไม่ได้รีบพาไป) พอไปหาหมอที่คลีนิค วัดไข้น้อง 38° กว่า แม่น้ำตาซึม หมอบอกไข้สูงดีที่น้องไม่ชัก (เช็ดตัว และให้กินยาตอนนั้นเลย) กลับมาบ้านแม่ป้อนยาตามที่หมอสั่งทุก 4 ชม. และน้องอาการดีขึ้น
วันถัดไปเหมือนเดิมค่ะ แม่ป้อนยาน้องทุก 4 ชม. น้องไข้เริ่มลด 35-36° กว่า ๆ แม่ก็โล่งใจ จน 16.00 น. แม่อาบน้ำให้น้องค่ะ (น้ำอุ่น) เพราะคิดว่าน้องหายแล้วเลยอาบน้ำอาบไม่นาน หลังอาบน้ำ น้องมีอาการสั่น แม่จึงห่มผ้าให้น้อง ประมาณ 16.40 น. น้องเริ่มร้องคราง เริ่มงอแง 16.50 น. แม่เอาปรอทวัดไข้ให้น้อง สรุป 40° ทำอะไรไม่ถูก รีบพาน้องไปโรงพยาบาล พอไปถึง พยาบาลรีบวัดไข้ 39° พยาบาลรีบพาน้องเข้าห้องฉุกเฉิน รีบเช็ดตัวทันที ผ่านไปครึ่งชม. ไข้เริ่มลด 38° และให้แม่พาน้องไป x-ray ปอด หมอให้น้อง admit เพราะไข้ยังสูง กลัวชัก เวลา 23.30 น. น้องมีอาการตาเหลือกบน (ไม่ชัก) แม่รีบเรียกพยาบาล พยาบาลรีบพาน้องเข้าไปในห้อง รีบเช็ดตัวทันที และเจาะให้น้ำเกลือน้อง
วันที่ 4 ไข้เริ่มลด 35-36 ปกติแล้ว เวลา 08.00 น. หมอเจาะเลือด สวนฉี่เอาฉี่ไปตรวจด้วยว่าเป็นอะไร และน้องก็ไม่มีไข้ปกติทั้งวัน
พอวันที่ 5 ผลออก น้องฉี่ข้น (น้องติดเชื้อในกระเพาะปัสสาวะ) หมออธิบายว่าสาเหตุน่าจะมาจาก “มีอึติดที่ปลายจู๋ด้านในของน้อง” ซึ่งเวลาน้องอึ แม่เช็ดทำความสะอาดเองตลอด คิดว่าทำดีที่สุดแล้ว แต่ก็พลาด ตอนที่หมอเช็ดตัวให้น้อง หมอเช็ดปลายจู๋ และจับหนังจู๋ถอยหลังนิดนึง เพื่อทำความสะอาด มีอึติดอยู่เล็กน้อย (หมอบอกแม่แบบนั้น อย่าด่าแม่) หมอให้ยาฆ่าเชื้อ เช้า-กลางวัน-เย็น
วันที่ 6 เวลา 08.00 น. หมอจะมาเจาะเลือดน้องอีกครั้ง และทำการเพาะเชื้อ 3 วัน เพื่อดูว่า ที่น้องติดเชื้อ คือเชื้อตัวไหน ถ้าน้องติดเชื้อตัวที่ไม่แรงมาก ก็ให้ยา 3-5 วัน แต่ถ้าเชื้อมีความรุนแรง ก็ให้ยา 7-9 วัน หมอย้ำว่า อย่าให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้อีก เพราะจะทำให้น้องไตวาย เพราะน้องยังเด็ก
ปล. ประมาณ 5-7 วัน ก่อนหน้าที่น้องจะมีอาการตัวรุม ๆ (มีไข้อ่อน ๆ) ก่อนน้องฉี่ น้องจะร้องไห้ก่อนประมาณ 30 วิ แล้วก็จะฉี่ออกมา แต่แม่ยังไม่คิดอะไร เพราะคิดว่าน้องอาจจะเย็นก้น เพราะอากาศเริ่มเปลี่ยน เริ่มหนาว
เหตุการณ์ที่แม่จะไม่มีวันลืม เห็นลูกเจ็บ แม่น้ำตาร่วงตลอดค่ะ สงสารจับใจเลย พิมพ์ไปร้องไห้ไป แต่อยากมาแชร์ประสบการณ์ให้แม่ ๆ ได้อ่าน
โรคติดเชื้อทางเดินปัสสาวะในทารก: ภัยเงียบที่อันตรายกว่าที่คิด
UTI คืออะไร? ทำไมแม่ ๆ ต้องรู้จัก
UTI (Urinary Tract Infection) คือ การติดเชื้อแบคทีเรียในระบบทางเดินปัสสาวะ ซึ่งครอบคลุมทั้ง:
- ท่อปัสสาวะ (Urethra)
- กระเพาะปัสสาวะ (Bladder)
- ท่อไต (Ureters)
- ไต (Kidneys)
สำหรับเด็กทารก โดยเฉพาะอายุไม่ถึง 1 ปี ระบบภูมิคุ้มกันยังอ่อนแอ ทำให้ติดเชื้อได้ง่าย และเชื้ออาจลุกลามรวดเร็ว จากกระเพาะปัสสาวะไปยังไต ซึ่งเป็นอวัยวะสำคัญในการกรองของเสีย
ทารกติดเชื้อ UTI ได้ยังไง?
สาเหตุหลักของ UTI ในเด็กทารก คือแบคทีเรียจากบริเวณก้น และอุจจาระ โดยเฉพาะเชื้อชื่อว่า E. coli (อีโคไล) ซึ่งเป็นแบคทีเรียปกติที่อยู่ในลำไส้ แต่ถ้ามันเดินทางจากก้นเข้าทางท่อปัสสาวะ ก็สามารถก่อให้เกิดการอักเสบได้ทันที
ในกรณีของเด็กชาย:
- หากยังไม่ขลิบหนังหุ้มปลายอวัยวะเพศ (ซึ่งเป็นเรื่องปกติในไทย)
- คราบอุจจาระอาจติดอยู่บริเวณซอกของหนังหุ้ม
- เมื่อมีการหมักหมม แบคทีเรียสามารถเข้าไปในท่อปัสสาวะ และเดินทางสู่กระเพาะปัสสาวะได้
ทำไมการติดเชื้อในทารกถึงอันตรายกว่าในผู้ใหญ่?
- ระบบภูมิคุ้มกันยังไม่พัฒนาเต็มที่ – ทำให้ร่างกายตอบสนองต่อเชื้อโรคได้ช้ากว่าผู้ใหญ่
- ไม่มีอาการชัดเจน – เด็กเล็กพูดไม่ได้ ไม่บอกว่าเจ็บตรงไหน บางทีร้องไห้ แม่ก็คิดว่าแค่ง่วง หิว หรือติดหวัด
- เชื้อเข้าสู่ไตได้เร็ว – การติดเชื้อที่ไม่ได้รับการรักษาทันเวลา อาจลุกลามสู่ไต ทำให้เกิด “ภาวะกรวยไตอักเสบ” และนำไปสู่ “ไตวาย” ได้
- อาการคล้ายไข้ทั่วไป – ทำให้พลาดช่วงเวลาสำคัญ ในการพาไปรักษา
สัญญาณอันตรายของ UTI ในทารกที่แม่ต้องจับตา
หลายเคสไม่มีอาการชัดเจน แต่สัญญาณเล็ก ๆ ต่อไปนี้คือ ธงแดงที่ไม่ควรละเลย
ในทารกแรกเกิดถึง 6 เดือน:
- ไข้สูงโดยไม่มีน้ำมูก ไอ หรืออาการหวัด
- งอแงมากผิดปกติ
- ดูซึม ไม่กินนม
- ปัสสาวะมีกลิ่นแรง หรือเปลี่ยนสี
- ผิวดูเหลืองซีด หรือขอบตาเขียวคล้ำ
- อาเจียน หรือท้องเสียร่วมด้วย
ในทารกที่เริ่มโต (6 เดือน – 2 ปี):
- ร้องไห้ก่อนฉี่หรือขณะฉี่
- จับอวัยวะเพศบ่อย แสดงว่าเจ็บหรือคัน
- ฉี่ออกน้อยกว่าปกติ หรือลำบากเวลาปัสสาวะ
- มีไข้กลับไปกลับมา
UTI บางครั้งไม่มีไข้ แต่ลูกดู “ไม่ปกติ” เช่น กินน้อย งอแงทั้งวัน ก็ควรปรึกษาแพทย์
การวินิจฉัย: ตรวจฉี่ง่าย ๆ แต่สำคัญมาก
หมอจะวินิจฉัย UTI โดยการ:
- เก็บตัวอย่างปัสสาวะ – อาจใช้วิธีติดถุงเก็บฉี่ หรือสวนปัสสาวะ
- ตรวจภายใต้กล้องจุลทรรศน์ – หาดูเซลล์เม็ดเลือดขาว และแบคทีเรีย
- เพาะเชื้อในห้องแล็บ – เพื่อหาว่า เชื้อที่ทำให้เกิดการติดเชื้อ คืออะไร และแพ้หรือดื้อต่อยาฆ่าเชื้อตัวไหน
- หากพบว่ามีการติดเชื้อ หมอจะสั่ง ยาปฏิชีวนะเฉพาะทาง เพื่อจัดการกับเชื้อนั้นโดยตรง
การรักษา UTI ในทารก
- ถ้าอาการไม่หนัก แพทย์อาจให้ยากินกลับบ้าน
- แต่ในเด็กเล็กมาก (ต่ำกว่า 3 เดือน) หรือกรณีที่ไข้สูง อาจต้อง แอดมิท เพื่อให้ยาทางเส้นเลือด (IV) และเฝ้าระวังอาการใกล้ชิด
ระยะเวลาให้ยา ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของเชื้อ เช่น:
- 3-5 วัน ถ้าเชื้อไม่รุนแรง
- 7-10 วัน ถ้าเป็นเชื้อรุนแรง หรือมีภาวะลุกลาม
ถ้าไม่รักษา อาจเกิดอะไรขึ้นได้บ้าง?
- ติดเชื้อในกระแสเลือด (Sepsis) – ภาวะฉุกเฉินที่แบคทีเรียเข้าสู่กระแสเลือด ทำให้เกิดอาการช็อก ความดันตก เสียชีวิตได้ภายในไม่กี่ชั่วโมง
- กรวยไตอักเสบ (Pyelonephritis) – การติดเชื้อที่ลามขึ้นไปถึงไต ทำให้เกิดแผลเป็นในไต ส่งผลต่อการทำงานระยะยาว
- ไตวายเรื้อรัง – ไตกรองของเสียไม่ได้ นำไปสู่การฟอกไต ตั้งแต่วัยเด็ก
ป้องกัน UTI อย่างไร? คู่มือสำหรับแม่ ๆ ที่มีลูกชาย
ทำความสะอาดอย่างถูกวิธี
- ใช้สำลีชุบน้ำอุ่น เช็ดจากด้านหน้าไปด้านหลัง
- ดึงหนังหุ้มปลายจู๋เบา ๆ เพื่อเช็ดด้านใน (ไม่ต้องฝืนดึงแรง)
- หมั่นเปลี่ยนผ้าอ้อมทุก 2-3 ชั่วโมง
- ซับให้แห้งก่อนใส่ผ้าอ้อมใหม่
หลีกเลี่ยงการอาบน้ำนานเกินไป
- โดยเฉพาะในอ่างน้ำที่มีคราบสบู่หรือปัสสาวะผสม
- ถ้าใช้กะละมังร่วมกับพี่น้อง ควรล้างให้สะอาดก่อน
อย่าปล่อยให้อึหมักหมม
- เช็ดทุกครั้งหลังอึ ไม่ว่าจะกลางวัน หรือกลางคืน
- ใช้น้ำเปล่าล้างร่วมด้วย จะสะอาดกว่าแค่เช็ด
พาไปพบแพทย์ หากมีสัญญาณผิดปกติ
- โดยเฉพาะ “ไข้สูงโดยไม่มีอาการหวัด”
- อย่ารอเกิน 24 ชั่วโมง
“อึติดปลายจู๋” ฟังดูเหมือนแค่เรื่องตลกในหมู่แม่ ๆ แต่เมื่อเกิดขึ้นจริง มันอาจเป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องเศร้า ที่ไม่มีใครอยากเจอ อย่าคิดว่าเด็กอารมณ์ดี ไม่มีน้ำมูก ไม่มีไอ คือปลอดภัยเสมอ หมั่นสังเกตลูกในทุกอาการ เปลี่ยนผ้าอ้อมให้บ่อย เช็ดทุกจุดให้สะอาด และอย่ากลัวที่จะถามหมอ หากมีข้อสงสัย เพราะความรู้เล็ก ๆ น้อย ๆ อาจเป็นตัวเปลี่ยนชีวิตลูกคุณได้
ที่มา: สารพันปัญหาเลี้ยงลูก
บทความอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
อุทาหรณ์! ปู่ย่าพาหลานไปหา “หมอเป่า” สุดท้ายติดเชื้อลุกลาม น่าสงสาร
หมอเตือน! โรคครูป ระบาดหน้าฝน สังเกตเสียงไอ-รับมือก่อนลูกแย่
อย่าเพิ่งอี๋ ลูกน้อยอึสีเขียว ดำ เทา บอกอะไรเกี่ยวกับสุขภาพลูก