สมองแม่ ฝ่อลงเมื่อมีลูก จริงไหม? ตั้งแต่เป็นแม่ ทำไมชอบขี้ลืม?

ภาพถ่ายสมองพบว่า สมองของแม่ตั้งครรภ์ มีบางส่วนฝ่อลง ความเปลี่ยนแปลงนี้ ส่งผลให้แม่ขี้ลืม จริงไหม? สมองแม่ เปลี่ยนแปลงไปอย่างไร เมื่อมีลูก
ตั้งแต่มีลูก คุณแม่หลายคงคงเคยประสบกับภาวะหลงลืม ป้ำๆ เป๋อๆ ลืมว่าวันนี้ต้องทำอะไรบ้าง ลืมว่าเมื่อกี้ใครพูดว่าอะไร นักวิทยาศาสตร์พบความเปลี่ยนแปลงหลายอย่างของ สมองแม่ โดยจากภาพถ่ายสมองพบว่า สมองของแม่ตั้งครรภ์ มีบางส่วนฝ่อลง ความเปลี่ยนแปลงเหล่านี้เป็นผลจากการเปลี่ยนแปลงทางสรีรวิทยาที่เกิดขึ้นจริงในสมองของคุณแม่ ส่งผลให้แม่ขี้ลืม จริงไหม? บทความนี้ เราจะมาทำความเข้าใจถึงการเปลี่ยนแปลงอันน่าทึ่งของสมองคุณแม่เมื่อมีลูกกันค่ะ
สมองแม่ เปลี่ยนแปลงอย่างไร เมื่อมีลูก
-
วิธีคิดของแม่เปลี่ยนไป โฟกัสที่ลูกมากขึ้น
เมื่อมีลูก ชีวิตของคุณแม่ก็พลิกผันไปอย่างสิ้นเชิง จากที่เคยให้ความสำคัญกับเรื่องส่วนตัว การงาน หรือกิจกรรมทางสังคมต่างๆ ลำดับความสำคัญในชีวิตของคุณแม่จะเปลี่ยนไปอย่างชัดเจน โดยมีลูกน้อยเข้ามาเป็นศูนย์กลางของความสนใจและความใส่ใจในทุกด้าน ความกังวลและแผนการต่างๆ จะเปลี่ยนไปเป็นการเฝ้าสังเกตการหายใจของลูกน้อย การจดจำตารางการให้นม การสังเกตลักษณะการขับถ่ายของทารก หรือแม้แต่การเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ที่ปลอดภัยที่สุดสำหรับลูก
มีงานวิจัยที่น่าสนใจศึกษาเกี่ยวกับการตอบสนองของสมองคุณแม่ต่อเสียงร้องของทารก โดยนักวิจัยได้ทำการสแกนสมองของคุณแม่ขณะที่ได้ยินเสียงร้องของทารก ผลการวิจัยพบว่า สมองส่วนที่เกี่ยวข้องกับการเอาใจใส่ (attention networks) และสมองส่วนที่เกี่ยวข้องกับการตอบสนองทางอารมณ์ (emotional processing areas) จะมีการทำงานที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเป็นเสียงร้องที่ไม่คุ้นเคย ซึ่งบ่งชี้ว่าสมองของคุณแม่ได้รับการปรับตั้งค่าให้มีความไวต่อสัญญาณความต้องการของทารกเป็นพิเศษ
นอกจากนี้ การศึกษาภาพถ่ายจากการทำ MRI สมองคุณแม่ตั้งครรภ์ แสดงให้เห็นว่า สมองส่วนสีเทา (Gray Matter) ซึ่งเป็นส่วนที่ประกอบด้วยเซลล์ประสาทและเส้นใยประสาทส่วนใหญ่ อาจมีขนาดเล็กลงในบางบริเวณ และคงอยู่ไปจนถึงช่วงหลังคลอด
อย่างไรก็ตาม การลดลงของปริมาตรสมองในบางส่วนนี้ไม่ได้หมายความว่าความสามารถโดยรวมของสมองคุณแม่ลดลง หรือเป็นสัญญาณของความเสื่อมถอยทางสติปัญญา นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าการเปลี่ยนแปลงนี้เป็นกระบวนการ “synaptic pruning” หรือการตัดแต่งกิ่งของวงจรประสาท เพื่อให้ สมองแม่ มีความเชี่ยวชาญและมีประสิทธิภาพมากขึ้นในการตอบสนองต่อความต้องการและบทบาทใหม่ของการเป็นแม่
การเปลี่ยนแปลงนี้อาจช่วยให้สมองของคุณแม่ “จัดระเบียบใหม่” เพื่อให้มีความไวต่อสัญญาณทางอารมณ์ของลูกน้อยมากขึ้น มีสมาธิจดจ่อกับการดูแลลูกได้ดีขึ้น และพัฒนาทักษะที่จำเป็นสำหรับการเป็นแม่ เช่น การรับรู้ความต้องการของลูกที่ไม่สามารถพูดได้ การตอบสนองต่อสถานการณ์ฉุกเฉิน หรือการสร้างความผูกพันทางอารมณ์ เพื่อให้คุณแม่พร้อมสำหรับการดูแลและเลี้ยงดูสมาชิกใหม่ของครอบครัวได้อย่างดีที่สุด
-
หลงๆ ลืมๆ สมองแม่ แย่ลง ด้านการจดจำคำพูด
ในช่วงตั้งครรภ์และหลังคลอด คุณแม่อาจสังเกตเห็นว่าตัวเองมีอาการ “นึกคำพูดไม่ออก” บ่อยขึ้น หรือบางทีก็ “ลืมสิ่งที่เพิ่งพูดไป” ได้ง่ายๆ อาการเหล่านี้เป็นลักษณะเด่นอย่างหนึ่งของอาการหลงๆ ลืมๆ ของคุณแม่ที่มักเรียกกันว่า Mom Brain ซึ่งส่งผลกระทบต่อ สามารถในการจดจำและดึงข้อมูลที่เป็นคำพูดออกมาใช้งาน (Verbal Memory)
ลองนึกภาพสถานการณ์ที่คุณแม่อยากจะเล่าเรื่องอะไรให้สามีฟัง แต่กลับนึกคำสำคัญไม่ออก หรือเพิ่งได้รับคำแนะนำจากคุณหมอ แต่กลับจำรายละเอียดทั้งหมดไม่ได้ หรือแม้แต่การพูดคุยกับเพื่อนๆ ก็อาจรู้สึกว่าต้องใช้ความพยายามมากขึ้นในการเรียบเรียงคำพูดให้ลื่นไหล อาการเหล่านี้อาจสร้างความหงุดหงิดและความกังวลใจให้กับคุณแม่ได้
มีงานวิจัยที่ศึกษาเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของความจำประเภทต่างๆ ในช่วงตั้งครรภ์และหลังคลอด โดยนักวิจัยได้ทำการทดสอบความจำในด้านต่างๆ เช่น ความจำด้านคำพูด ความจำเชิงพื้นที่ และความจำใช้งาน ในกลุ่มคุณแม่ตั้งครรภ์ กลุ่มคุณแม่หลังคลอด และกลุ่มผู้หญิงที่ไม่ได้ตั้งครรภ์ ผลการศึกษาบางชิ้น พบว่ากลุ่มคุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์และหลังคลอดใหม่ๆ อาจมีประสิทธิภาพที่ลดลงในการทดสอบที่วัดความจำด้านคำพูด เมื่อเทียบกับกลุ่มผู้หญิงที่ไม่ได้ตั้งครรภ์ ซึ่งบ่งชี้ว่าการเปลี่ยนแปลงทางสรีรวิทยาในช่วงนี้อาจส่งผลกระทบต่อความสามารถในการประมวลผลและจดจำข้อมูลที่เป็นคำพูด
มีหลายปัจจัยที่อาจส่งผลให้ความจำด้านคำพูดของคุณแม่เปลี่ยนแปลงไปในช่วงนี้ ได้แก่
- การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน ระดับฮอร์โมนที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างมากในช่วงตั้งครรภ์และหลังคลอด เช่น ฮอร์โมนเอสโตรเจนและโปรเจสเตอโรน มีผลต่อการทำงานของสมองในหลายส่วน รวมถึงส่วนที่เกี่ยวข้องกับความจำและการเรียนรู้
- การนอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอ การเลี้ยงดูทารกมักมาพร้อมกับการนอนหลับที่ไม่เป็นเวลาและปริมาณน้อย ซึ่งการอดนอนเรื้อรังมีผลเสียต่อการทำงานของสมองในหลายด้าน รวมถึงความจำและความสามารถในการจดจ่อ
- ความเครียดและความกังวล ความรับผิดชอบที่เพิ่มขึ้น ความกังวลเกี่ยวกับการเลี้ยงดูลูกน้อย และการปรับตัวเข้าสู่บทบาทใหม่ อาจก่อให้เกิดความเครียด ซึ่งส่งผลกระทบต่อการทำงานของสมองและความสามารถในการจดจำข้อมูลต่างๆ
- การเปลี่ยนแปลงของลำดับความสำคัญ ดังที่ได้กล่าวไปแล้วว่าความสนใจและโฟกัสของคุณแม่จะมุ่งไปที่ลูกน้อยมากขึ้น ทำให้สมองอาจให้ความสำคัญกับการประมวลผลข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับลูกมากกว่าข้อมูลอื่นๆ
คุณแม่ต้องเข้าใจว่าอาการหลงลืมหรือนึกคำพูดไม่ออกเหล่านี้เป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นได้ และมักจะเป็นเพียงภาวะชั่วคราว เมื่อร่างกายและฮอร์โมนกลับสู่สมดุลมากขึ้น การนอนหลับดีขึ้น และความเครียดลดลง ความจำด้านคำพูดก็จะค่อยๆ ฟื้นตัวกลับมาได้ภายใน 2 ปีค่ะ
-
สมองแม่ ดีขึ้น ในการจดจำตำแหน่ง และการจดจำใบหน้า
อย่างไรก็ตาม Mom Brain ไม่ได้เป็นเรื่องของความเสื่อมถอยของสมองเท่านั้น การมีลูกทำให้ สมองแม่ ดีขึ้น ในด้านความจำเชิงพื้นที่ และการจดจำใบหน้า
- ความจำเชิงพื้นที่ (Spatial Memory) ที่เฉียบคมขึ้น
ในชีวิตประจำวันของคุณแม่ที่มีลูกน้อย ต้องจดจำตำแหน่งของข้าวของเครื่องใช้ของลูกน้อยมากมาย ไม่ว่าจะเป็นขวดนม ผ้าอ้อม เสื้อผ้า ของเล่น หรือแม้แต่ยาต่างๆ ที่อาจวางไว้คนละที่ ดังจะสังเกตได้ว่า แม่จึงเป็นคนเดียวในบ้านที่มักจะหาของเจอเสมอว่าอะไรอยู่ตรงไหน นอกจากนี้ การพาลูกน้อยเดินทางไปยังสถานที่ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นบ้านญาติ สนามเด็กเล่น หรือโรงพยาบาล ก็ต้องการความสามารถในการจดจำเส้นทางที่แม่นยำ เพื่อให้สามารถเดินทางได้อย่างราบรื่นและปลอดภัย
นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าสมองของคุณแม่มีการปรับตัวเพื่อตอบสนองต่อความต้องการเหล่านี้ โดย ความสามารถในการจดจำตำแหน่งสิ่งของ (object location memory) และการนำทาง (navigation) อาจพัฒนาขึ้นอย่างน่าทึ่ง เพื่อช่วยให้คุณแม่สามารถดูแลลูกน้อยได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น การรู้ว่าของเล่นชิ้นโปรดของลูกวางอยู่ที่มุมไหนของห้อง หรือการจดจำเส้นทางที่สั้นที่สุดในการพาลูกไปสถานพยาบาลในช่วงเวลาเร่งด่วน
มีงานวิจัยหลายชิ้นที่ศึกษาเปรียบเทียบความสามารถด้านความจำเชิงพื้นที่ระหว่างกลุ่มคุณแม่และกลุ่มผู้หญิงที่ไม่มีบุตร ผลการศึกษาบางชิ้น พบว่ากลุ่มคุณแม่มีแนวโน้มที่จะทำคะแนนได้ดีกว่าในการทดสอบที่วัดความสามารถในการจดจำตำแหน่งของวัตถุและการนำทางในสภาพแวดล้อมเสมือนจริง ซึ่งบ่งชี้ว่าประสบการณ์การเลี้ยงดูลูกอาจมีส่วนช่วยในการเสริมสร้างความสามารถด้านนี้ของสมอง
- ความจำด้านใบหน้า (Facial Memory) ที่แม่นยำขึ้น
การจดจำใบหน้าเป็นทักษะทางสังคมที่สำคัญ คุณแม่จำเป็นต้องจดจำใบหน้าของลูกน้อย รวมถึงใบหน้าของบุคคลอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับลูก เช่น คุณปู่คุณย่า ญาติสนิท หรือครูที่โรงเรียนอนุบาล ความสามารถในการจดจำใบหน้าเหล่านี้ช่วยเสริมสร้างความผูกพันทางสังคมและความปลอดภัยของลูกน้อย
นักวิจัยพบว่าสมองของคุณแม่มีการตอบสนองที่พิเศษต่อใบหน้าของลูกตนเอง เมื่อคุณแม่มองภาพถ่ายของลูกตัวเอง สมองส่วนที่เกี่ยวข้องกับการจดจำใบหน้า และสมองส่วนที่เกี่ยวข้องกับความผูกพันทางอารมณ์ จะมีการทำงานที่เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน
-
สมองส่วนอะมิกดาลาขยายตัว สร้างความผูกพันแม่ลูก
อะมิกดาลา (Amygdala) เป็นส่วนหนึ่งของสมอง มีบทบาทสำคัญในการ ประมวลผลทางอารมณ์และความรู้สึกต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งอารมณ์ที่เกี่ยวข้องกับการอยู่รอด เช่น ความกลัว ความสุข และความโกรธ รวมถึงการเรียนรู้และความทรงจำที่เกี่ยวข้องกับอารมณ์
ในช่วงของการเป็นแม่ นักวิทยาศาสตร์พบว่า สมองส่วนอะมิกดาลาของคุณแม่มีแนวโน้มที่จะมีการขยายตัวหรือมีการทำงานที่เปลี่ยนแปลงไป การเปลี่ยนแปลงนี้มีความเชื่อมโยงอย่างใกล้ชิดกับความรู้สึกที่เข้มข้นขึ้นที่คุณแม่มีต่อลูกน้อย เพื่อให้คุณแม่มีความ ไวต่ออารมณ์ของลูก มากขึ้น สามารถรับรู้ได้ถึงความสุข ความทุกข์ หรือความต้องการของลูกได้อย่างรวดเร็ว
นอกจากนี้ อะมิกดาลายังมีบทบาทในการประมวลผล การรับรู้อันตราย การเปลี่ยนแปลงของอะมิกดาลา อาจทำให้คุณแม่มีความตื่นตัวและระมัดระวังต่อภัยคุกคามต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นกับลูกน้อยมากขึ้น สัญชาตญาณความเป็นแม่จะทำงานอย่างเข้มข้น ทำให้คุณแม่พร้อมที่จะปกป้องลูกจากอันตรายต่างๆ เสมอ เพราะสมองกำลังปรับตัวเพื่อปกป้องสิ่งที่มีค่าที่สุดในชีวิตของคุณแม่
Mom Brain: มากกว่าแค่ความขี้ลืม
โดยสรุปแล้ว การเปลี่ยนแปลงต่างๆ ที่เกิดขึ้นในสมองของคุณแม่ ธรรมชาติของ Mom Brain ไม่ใช่ภาวะที่ทำให้สมองของคุณแม่แย่ลง หรือเป็นสัญญาณของความสามารถที่ลดถอยลงอย่างถาวร
ในทางตรงกันข้าม Mom Brain เป็น กระบวนการปรับตัวเพื่อช่วยให้คุณแม่สามารถตอบสนองต่อความต้องการและความท้าทายในการดูแลลูกน้อยได้อย่างมีประสิทธิภาพ สมองกำลัง “จัดสรรทรัพยากรใหม่” เพื่อให้ความสำคัญกับการดูแลลูกเป็นอันดับแรก พัฒนาทักษะที่จำเป็นสำหรับการเป็นแม่ และเสริมสร้างความผูกพันทางอารมณ์ระหว่างแม่และลูก
เมื่อคุณแม่เข้าใจว่าการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของการเป็นแม่ ก็จะสามารถรับมือกับความท้าทายต่างๆ ได้ด้วยความอดทนและความเข้าใจมากขึ้น ลดความเครียด และมีพลังใจในการดูแลลูกน้อยได้อย่างมีความสุขค่ะ
ที่มา : เพจเลี้ยงลูกตามใจหมอ , หมอแพมชวนอ่าน
บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ
7 วิธีสร้างสายสัมพันธ์แม่ลูก เริ่มตั้งแต่แรกเกิด นำทางลูกไปตลอดชีวิต
งานวิจัยยืนยัน ผู้หญิงยิ่งชอปปิง ยิ่งคลายเครียด รู้สึกมีอำนาจ มีกำลังใจใช้ชีวิตต่อ
เลี้ยงลูกต้องมีสติ: 8 วิธีเลี้ยงลูก ที่พ่อแม่ยุคใหม่ ต้องเข้าใจให้ไวและให้ทัน